




บทที่ 9
"มาเริ่มเกมกันเลย"
"ใช่เลย เพื่อนฉันต้องแบบนี้" เควินให้กำลังใจฉันพลางลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างภูมิใจบนใบหน้าเมื่อเห็นหน้าพี่ชายของเขา ฉันเริ่มเดินไปยังสนามโดยมีเควินเดินตามมา
"พี่เขาได้บอกเธอหรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนพี่เขา" เควินเอ่ยถามขณะเดินอยู่ข้างฉัน
"ไม่หรอก แต่พี่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธนะตอนที่อลิชาเรียกพี่เขาว่าแฟน" ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดพลางก้มลงหยิบลูกบอลที่วางอยู่บนพื้นตรงที่เราทิ้งไว้
"ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนพี่เขานะ พี่เขาไม่ได้บอกพวกเราเลยสักคนว่าเป็นแฟน" เขาพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อพลางมองไปยังพี่ชายของเขาที่กำลังเดินมาทางพวกเราด้วยสีหน้าขึงขังขบกรามแน่น
"การที่พี่เขาไม่ได้บอกพวกนายเรื่องผู้หญิงคนนั้น มันก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้คบกับหล่อนนี่" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ในปากกลับรู้สึกขมขื่นขณะพูดออกไป
"แต่..." เควินอยากจะแก้ต่างให้พี่ชาย แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะฟัง ตอนนี้ฉันอยากจะสนใจแค่เรื่องเดียว นั่นคือต้องชนะเกมนี้ให้ได้
"ช่างมันเถอะ ฉันไม่แคร์" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แต่รสขมขื่นนั้นยังคงอยู่ในปาก พูดจบฉันก็เริ่มเดินกลับไปกลางสนาม เควินรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉันและพี่ชายของเขา ทันทีที่พี่ชายของเขาสัญญาว่าจะขอฉันเป็นแฟนในวันเกิดอายุสิบหกปีของฉัน วินาทีต่อมาฉันก็เล่าทุกอย่างให้เควินฟัง ฉันระบายทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาฟังหมดเปลือก พร้อมทั้งให้เขาสัญญาว่าจะไม่บอกใคร
อะไรกัน! อย่ามาโทษฉันเลยน่า คุณจะไปคาดหวังอะไรกับเด็กผู้หญิงอายุแค่สิบขวบล่ะ
เด็กคนนั้นอยากจะแบ่งปันข้อมูลล้ำค่านี้กับเพื่อนสนิทของเธอใจจะขาด ซึ่งบังเอิญเป็นน้องชายของแฟนในอนาคตของเธอ เพื่อนที่ปากหนักคนนี้รักษาสัญญาและไม่เคยบอกใครเลย ตอนนั้นเขาตื่นเต้นมาก เพราะหลังจากที่พี่ชายของเขาขอฉันเป็นแฟนแล้ว ฉันก็จะได้ไปอยู่กับพวกเขาที่บ้าน และเราก็จะเล่นด้วยกันได้ทั้งวัน ความคิดของฉันเรื่องการเป็นแฟนกับการเป็นภรรยามันปนเปกันไปหมดในวัยไร้เดียงสานั้น แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่เด็กหญิงอายุสิบขวบผู้ไร้เดียงสาคนเดิมอีกแล้ว ตอนนั้นฉันมองไม่เห็นคำโกหกในแววตาของผู้คน แต่ตอนนี้ฉันมองเห็น ถึงฉันจะไม่ได้เป็นผู้ใหญ่และแก่ประสบการณ์เท่าเขา แต่ฉันรู้ดีว่าคำโกหกมันทำร้ายคนได้มากแค่ไหน มันเจ็บปวดยิ่งกว่าถ้าคำโกหกเหล่านั้นคือความจริงในวัยเด็กของใครบางคน
"มาเริ่มเกมกันเถอะ" เควินประกาศขณะยืนอยู่ข้างพี่ชายของเขา ฉันวางลูกบอลไว้ตรงหน้าพวกเรา ดวงตาสีอำพันของพี่เขามองตามฉันทุกฝีก้าวด้วยแววตาคมกริบ จนทำให้ฉันอยากจะขยับตัวสลับขาไปมาด้วยความประหม่า ฉันควบคุมตัวเอง เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเหนือกว่าฉัน ฉันจะไม่ให้พลังนั้นกับเขา เจสันซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฉัน ขยับเข้ามาใกล้หูฉัน
"เราจะใช้แผนเดิมกันไหม" เขาพึมพำข้างหูฉัน ลมหายใจของเขารวยรินบนต้นคอและไหล่เปลือยของฉัน ทำให้ฉันพยักหน้าตอบตกลง ดวงตาสีอำพันของพี่ชายเควินจับจ้องทุกการกระทำของเราด้วยกรามที่ขบแน่น วิธีที่เขากวาดสายตามองร่างกายส่วนบนของฉันทำให้ฉันอยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้ แต่ฉันก็ยังยืนหยัดอยู่กับที่ ดูเหมือนว่าเขาพร้อมจะลากฉันไปกับเขาได้ทุกเมื่อ เหมือนที่เขาทำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกโหวงๆ ในท้อง มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ แต่ฉันก็พยายามไม่สนใจ เสียงนกหวีดดังขึ้น และฉันก็เตะบอลออกไปก่อนที่เขาจะทำได้ ครั้งนี้จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เราอาจจะแพ้เกมนี้ คำนั้นไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของฉัน พี่เขาทำท่าจะเข้ามาแย่งบอลจากฉัน แต่ฉันเตะมันไปให้เจสันซึ่งวิ่งนำหน้าไป ทำให้ฉันต้องวิ่งตามเขาไปในขณะที่สองพี่น้องริเวียร่าพยายามจะแย่งบอล เจสันกับฉันทำตามแผนของเรา เขาส่งบอลกลับมาให้ฉันอีกครั้ง และฉันก็เตะมันสุดแรงเกิดไปยังประตู และมันก็พุ่งตรงเข้าโกลไปเลย เจสันกับฉันโห่ร้องให้กับชัยชนะเล็กๆ ของเรา ตอนนี้คะแนนเสมอกันแล้ว ฉันหัวเราะออกมาขณะที่เจสันโอบแขนรอบเอวฉันแล้วยกฉันขึ้นหมุนเป็นวงกลม ดวงตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยความโกรธยิ่งแข็งกร้าวขึ้นขณะที่เขาพึมพำบางอย่างลอดไรฟัน ทำให้ฉันยิ้มเยาะให้เขา เขาปล่อยฉันลง แล้วเราก็เริ่มเกมกันอีกครั้ง ฉันทำแบบเดิมอีกครั้ง ทำให้ได้ประตูเพิ่มอีกหนึ่งลูก
ตอนนี้ฉันกำลังวิ่งไล่ตามเควินที่กำลังเลี้ยงบอลวิ่งหนีราวกับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมัน ฉันก็คงทำเหมือนกันถ้าพี่ชายของเขาส่งบอลให้เขาในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาก็ทำประตูได้สำเร็จ และเขาก็เต้นดีใจเหมือนเด็กๆ หลังจากเล่นกันไปชั่วโมงครึ่ง คะแนนก็ยังเท่าเดิม และเหลือโอกาสสุดท้ายเพียงครั้งเดียว ฉันหอบหายใจอย่างหนักเพราะเล่นต่อเนื่อง เหงื่อไหลจากใบหน้าลงมาถึงลำคอ ทุกคนอยู่ในสภาพเดียวกัน ถึงแม้จะเหนื่อยล้า แต่พวกเราก็ยังไม่พร้อมที่จะยอมแพ้
อลิชาเป่านกหวีดอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตัดสินผู้ชนะ ฉันพยายามจะยิงประตู แต่พี่เขาก็เตะบอลออกไปแล้วพยายามจะเลี้ยงมันไปยังประตู ฉันตามติดเขาไปอย่างใกล้ชิด เขากำลังจะเตะบอลเข้าประตู แต่ฉันสไลด์ตัวลงไปแล้วเตะมันออกมาก่อน ทำให้แผลเก่าที่หัวเข่าของฉันปริแตก ฉันซี้ดปากด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ลุกขึ้นยืนทันทีแล้ววิ่งตามลูกบอลไปในขณะที่เจสันเป็นคนครองบอล ฉันได้ยินพี่เขาสบถอีกครั้งขณะวิ่งตามหลังเจสัน แต่เจสันก็ส่งบอลมาให้ฉัน และฉันก็เตะมันสุดแรงเกิดอีกครั้ง มันพุ่งตรงเข้าประตูไป ทำให้ฉันเสียหลักสะดุดล้มข้อศอกกระแทกพื้น ถึงแม้จะเจ็บตัว แต่ฉันก็ตะโกนก้องด้วยความดีใจ ลืมความรู้สึกแสบร้อนและความเจ็บปวดที่ข้อศอกและหัวเข่าไปจนหมดสิ้น
"เราชนะ!" เจสันตะโกนลั่นแล้ววิ่งมาหาฉันพร้อมกับพยุงให้ฉันลุกยืน พี่โบรเข้ามากอดฉันแน่นจนเรากระโดดโลดเต้นไปด้วยกัน ทำให้ฉันหัวเราะออกมา
"ใช่ เราชนะ" ฉันพูดอย่างภูมิใจขณะที่รอยยิ้มปรากฏชัดบนริมฝีปาก ฉันไม่เคยแพ้เกมนี้เลยสักครั้ง ฉันได้ยินเสียงสบถจากสองพี่น้องแว่วมาจากไกลๆ ส่วนอลิชาก็ยืนทำหน้าเซ็งๆ ฉันควรจะขอบคุณเธอด้วยเหมือนกันนะ ถึงแม้เธอจะเชียร์พวกเราก็เถอะ ทุกครั้งที่เธอเชียร์เขา มันยิ่งทำให้ฉันมุ่งมั่นที่จะชนะมากขึ้น "โอ๊ย" ฉันครางออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเจสันบังเอิญคว้าโดนข้อศอกฉัน
"ขอโทษครับลูน่า คุณเลือดออกนี่ครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงกังวลพลางมองบาดแผลที่ข้อศอกฉัน
"อะไรนะ?" ฉันได้ยินน้ำเสียงกรุ่นโกรธ และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนขณะที่เขาจ้องมองบาดแผลของฉันด้วยแววตาโกรธจัด
"ขอดูหน่อยซิ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ขณะที่ฉันพยายามจะดึงมือออกจากเขา ฉันยังคงปฏิเสธและหันหลังตั้งท่าจะเดินหนีไปจากเขา
"ให้ตายสิ ความดื้อรั้นของเธอเนี่ย ฉันจะทำยังไงกับเธอดี?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำให้ฉันกลอกตามองบนกับคำพูดของเขา ฉันไม่ได้บอกให้เขากังวลเรื่องฉันสักหน่อย ฉันคิดขณะเดินหนีออกมาพลางมองบาดแผลตัวเอง แต่แล้วเสียงร้องอุทานเบาๆ ก็หลุดจากปากฉัน เมื่อตัวฉันลอยขึ้นจากพื้นและถูกอุ้มเข้าบ้านไปในอ้อมแขนของเขา ฉันมองผ่านไหล่เขาไปยังผู้ชมที่เรามี เควินยิ้มเยาะให้ฉันแล้วยักคิ้ว ทำให้แก้มฉันร้อนผ่าว ฉันรีบหลบสายตาเขาไปยังคนที่กำลังอุ้มฉันอยู่ ฉันถลึงตาใส่เขา แต่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองฉันและยังคงเดินหน้าเฉยต่อไป ฉันพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนเขา แต่เขาก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเมื่อเราเข้าไปในบ้าน ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสผิวที่ชื้นเหงื่อเล็กน้อยของฉัน ทำให้ฉันตัวสั่นสะท้าน
"เกิดอะไรขึ้นกับแกล่ะนั่น?" คุณป้าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อเห็นเขาอุ้มฉันเข้ามา
"เธอเจ็บข้อศอกกับหัวเข่าตอนเล่นเกมน่ะครับ ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจะทำแผลให้" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขณะเดินขึ้นบันได ใบหน้ายังคงเฉยเมยดุจหิน ทำให้ฉันเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาพาฉันไปที่ห้องของเขา เขาใส่กลอนห้อง ทำให้หัวใจฉันเต้นรัว แต่ฉันก็ยังคงเงียบ เขาให้ฉันนั่งลงบนเตียงของเขาขณะที่ฉันจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง ฉันพยายามจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องเขา แต่เขาก็ใช้แขนกำยำรวบเอวฉันไว้แล้วให้ฉันนั่งลงบนเตียงตามเดิม ฉันครางอย่างรำคาญ ตามด้วยเสียงซี้ดปากด้วยความเจ็บปวด สงสัยผิวใต้ซี่โครงฉันคงช้ำไปด้วยแล้วล่ะ
"อยู่ตรงนี้ถ้าไม่อยากให้ฉันโมโห" เขาเตือนฉันด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความกลัวขณะที่ดวงตาของฉันยังคงจับจ้องกับดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเขา ฉันหลบสายตา เพราะทนมองเขาไม่ไหว เขาเดินไปที่ห้องน้ำของเขาแล้วกลับออกมาพร้อมกับชุดปฐมพยาบาล ฉันมองไปทางอื่นอีกครั้งเมื่อดวงตาสีอำพันของเขากวาดมองผิวเปลือยเปล่าที่ฟกช้ำของฉัน เขายังคงเปลือยอกอยู่ขณะหยิบของสองสามอย่าง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าฉันแล้วเริ่มทำแผลให้ฉัน เขาทำแผลที่หัวเข่าฉันก่อน โดยใช้ผ้าเปียกเช็ดโคลนออก แผลมันค่อนข้างลึก และฉันก็เผลอกัดริมฝีปากล่างเมื่อแม้แต่น้ำก็ทำให้แสบ ยิ่งทายายิ่งแสบกว่าเดิมจนฉันต้องกำผ้าปูที่นอนแน่น
เขามองตามปฏิกิริยาของฉันด้วยแววตาขุ่นเคือง เขายังคงมองฉันพลางทายาและเป่าเบาๆ ที่แผล ไม่รู้ทำไม แต่ความรู้สึกแสบร้อนเริ่มบรรเทาลง และฉันเริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งพล่านในร่างกาย เขาทำเช่นเดียวกันกับข้อศอกของฉัน ฉันตัวสั่นสะท้านภายใต้สัมผัสของเขาและอากาศเย็นในห้อง ความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้จากปลายนิ้วของเขามันช่างแตกต่าง มันเหมือนมีอะไรบางอย่างปั่นป่วนอยู่ในท้อง เขาทำแผลให้ฉันเสร็จแล้ว ฉันจึงพยายามจะดึงมือออกจากอุ้งมือเขา แต่เขากลับกดฝ่ามือของฉันลงบนริมฝีปากของเขา ทำให้ความรู้สึกเสียววาบแล่นไปทั่วสันหลังเมื่อริมฝีปากชื้นแฉะของเขาสัมผัสผิวฉัน ลมหายใจฉันสะดุดเมื่อเขาทำเช่นนั้น ฉันทนความรู้สึกนี้ไม่ไหว จึงพยายามจะลุกขึ้น แต่เขาก็ดึงให้ฉันนั่งลงตามเดิม ตอนนี้เขาต้องการอะไรจากฉันอีกนะ?
"รอยช้ำนั่นก็ต้องรักษาเหมือนกัน" เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่แหบพร่า ราวกับได้ยินความคิดของฉัน เขาเลื่อนนิ้วหัวแม่มือไปบนรอยช้ำใต้ทรวงอกตรงซี่โครง ทำให้ฉันเผลอกำผ้าปูที่นอนแน่นอีกครั้ง
"ถ้าเพียงแต่เธอไม่ดื้อถอดเสื้อของฉันออกไปซะก่อนนะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธขณะที่นิ้วหัวแม่มือของเขาลากไล้ไปบนรอยช้ำสีแดงอมม่วงอย่างแผ่วเบา พลางเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่เป่ารดจนจั๊กจี้ ทำให้ฉันหลับตาแล้วเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาเป่าลมหายใจอุ่นๆ ออกมาขณะที่ดวงตาสีอำพันของเขามองตามท่าทีขัดขืนของฉัน แต่สิ่งที่เขาทำต่อจากนั้นทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ หัวใจแทบจะกระดอนออกมาจากอก ให้ตายสิ ริมฝีปากเขาสัมผัสผิวฉัน ทำให้ร่างกายฉันร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้อีกครั้ง ริมฝีปากชื้นแฉะของเขายังคงประทับรอยจูบเล็กๆ แผ่วเบาลงบนรอยช้ำของฉันราวกับกำลังรักษาแผลให้ เพียงจูบเบาๆ ของเขาก็กำลังทำอะไรบางอย่างกับจิตใจไร้เดียงสาของฉัน และสิ่งต่อมาที่ฉันรู้ตัวคือ เขาทำลายความตั้งใจของฉันที่จะไม่พูดกับเขาลงจนได้ เมื่อฉันครางชื่อเขาออกมาอย่างแผ่วเบา ทำให้เขายกยิ้มมุมปากขณะที่ใบหน้ายังซบอยู่กับผิวฉัน
"เอเซล"