




3
เจน นี่มันอร่อยมากกกก อร่อยจริงๆ นะ” เอ็มม่าพูดทั้งที่อาหารยังเต็มปาก แก้มตุ่ยเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างพึงพอใจ
ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะมองเธอ มันมีอะไรบางอย่างที่น่าเอ็นดูอย่างน่าประหลาดในท่าทางการถือช้อนของเธอ ตอนที่เธอบรรจงแทะข้าวโพดอ่อนราวกับว่ามันเป็นของหรูหราที่สุดที่เคยกินมา
“ฉันเห็นด้วยกับแม่เธอทุกอย่างเลย” เธอบอกพลางใช้ส้อมชี้มาที่ผมอย่างเน้นย้ำเกินจริง “เธอเป็นดาวเด่นในครัวจริงๆ น่าจะไปเป็นเชฟหรืออะไรทำนองนั้นนะ”
“ขอบใจ” ผมพึมพำ ยังคงมองเธอไม่วางตา เธอไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองดูน่ารักขนาดไหนตอนที่เคี้ยวข้าวโพดอ่อนชิ้นสุดท้ายราวกับเป็นของหายากล้ำค่า
แต่ผมก็อดใจไม่ไหว
“เอาล่ะ” ผมพูดพลางโน้มตัวข้ามโต๊ะไปเล็กน้อย “ฉันว่าฉันต้องประเมินอายุเธอใหม่ซะแล้ว”
แค่นั้นแหละ
ข้าวโพดอ่อนครึ่งชิ้นดีดตัวออกจากส้อมของเธอเหมือนจรวดสีเหลืองลูกจิ๋ว พุ่งตรงมาที่หน้าอกผม ผมกะพริบตา อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา ดวงตาของเอ็มม่าเบิกกว้างด้วยความสยดสยองจอมปลอม
“เห็นไหมว่าเป็นเพราะเธอ!” เธอโวยวายอย่างกับเล่นละคร “เพราะเธอแกล้งฉัน ฉันเลยอดกินข้าวโพดอ่อนชิ้นสุดท้ายเลย!”
เธอทำหน้าบึ้ง กอดอกเหมือนเด็กน้อยที่โดนขัดใจ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เธอน่ารักขึ้นไปอีก ผมจ้องมองเธอ รอยยิ้มของผมค้างอยู่นานกว่าที่ควรจะเป็น
ให้ตายสิ ผมคิด แค่ทำท่าแบบนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินในท้องได้แล้ว เดี๋ยวนะ—ผีเสื้อบินในท้องเนี่ยนะ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฉันรู้สึกแบบนี้กับอะไรก็ตาม นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักได้แค่อาทิตย์เดียว
ผมยังคงต่อสู้กับความคิดนั้นในหัวตอนที่เธอลุกขึ้นยืน เท้าสะเอวเหมือนตัวละครสุดแซ่บในซิตคอม
“พรุ่งนี้นายต้องทำอาหารให้ฉันกินอีก”
มาอีกแล้ว...เอ็มม่าผู้กล้าและมั่นใจคนนั้น คนที่ไม่เคยขอแต่สั่งตลอด แต่ถึงอย่างนั้น...สายตาที่เธอมองผมตอนที่พูด...ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยสักนิด
“ไม่ต้องขู่ก็ได้เอ็มม่า” ผมแหย่ “ขอดีๆ ก็ได้”
เธอหรี่ตามองผมอย่างล้อเล่น ราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ผมรอดหรือจะแกล้งให้ลุ้นต่อไป
“เธอรู้ใช่ไหมว่านี่หมายความว่าอะไร” ผมพูดพลางเอนหลังพิงพนักพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตอนนี้เธอขาดฉันไม่ได้แล้วจริงๆ”
เธอขยับเข้ามาใกล้ และชั่ววินาทีหนึ่งผมคิดว่าเธอกำลังจะจูบผม ใบหน้าของเราห่างกันแค่ไม่กี่นิ้ว ผมได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ...กลิ่นดอกไม้อ่อนๆ หน้าอกผมบีบเกร็ง สายตาเธอเหลือบมองริมฝีปากผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแล้วถอยกลับไปพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ
“ใช่เลย” เธอบอกพลางหันหลังเดินไปที่อ่างล้างจาน “ตอนนี้เธอติดกับฉันแล้ว ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม”
ถ้าเพียงแต่เธอจะรู้ ผมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลย ไม่มีเลยสักนิด
วันต่อมาก็ไม่ต่างกันมากนัก
ผมนอนแผ่อยู่บนโซฟา จ้องมองเพดานอีกครั้งเหมือนพวกวัยรุ่นในหนังไม่มีผิด ทันใดนั้นโทรศัพท์ของผมก็สั่น
ข้อความจากเอ็มม่า
ฉันรออยู่
ผมดูนาฬิกา หนึ่งทุ่มสามนาที
เรื่องทำอาหารนั่นเธอไม่ได้พูดเล่น
ผมลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อ แล้วตัดสินใจใส่กางเกงขาสั้นกุดตัวเดิมต่อ เน้นสบายไม่เน้นแฟชั่น
แค่สามก้าวผมก็ไปถึงหน้าประตูห้องเธอแล้ว
เธอเปิดประตูแทบจะในทันที พร้อมกับกอดอก
“นี่ฉันต้องส่งข้อความไปตามนายมาจริงๆ เหรอ”
“แหม ทักทายกันดีจังนะเพื่อนบ้าน” ผมพูดพลางเดินสวนเธอเข้าไปตรงไปยังห้องครัว
“สงสัยจังว่าสมัยนี้คำว่า 'ดีจ้า' กับ 'สวัสดี' มันหายไปไหนหมด” ผมพูดต่ออย่างเล่นใหญ่ขณะค้นตู้เย็นของเธอ “มันยังใช้ได้อยู่นะจะบอกให้ ไม่แน่ถ้าเธอลองใช้มันอาจจะกลับมาฮิตอีกครั้งก็ได้”
ผมหันไปมองเธอ—และจับได้ว่าเธอกำลังจ้องอยู่ ไม่ใช่ใบหน้าผม ต่ำลงไปกว่านั้น
“เห็นอะไรที่ชอบเหรอ” ผมแกล้งหยอก
เธอสะดุ้งโหยงเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบขโมยคุกกี้ในโหล “เอ่อ ใช่ หมายถึง ไม่ใช่สิ คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ก็... ก็ทำอาหารไปสิ นะ?”
เธอหนีเข้าไปในห้องนั่งเล่น เปลี่ยนช่องทีวีเร็วเกินกว่าจะตั้งใจดูอะไรได้
ผมยิ้มกริ่มขณะหั่นผัก
เธอกำลังสำรวจผมอยู่
นั่นทำให้ผมมีความหวังขึ้นมานิดหน่อย บางที... บางทีเรื่องทั้งหมดนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไปเองฝ่ายเดียว
พอถึงตอนที่ผมจัดอาหารลงจาน เธอก็หายจากอาการเขินอายแล้วและเริ่มจัดโต๊ะอาหาร
“ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” เธอพึมพำแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม
มื้อค่ำช่วงแรกเงียบสงบ เงียบเกินไป เธอไม่พูด ไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางผม บางทีเธออาจจะยังอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่ ผมกระแอมในลำคอ พยายามทำลายความตึงเครียด
“ว่าแต่... คุณชอบมันไหม” ผมถามอย่างระมัดระวัง
เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง
“อะไรนะคะ” เสียงเธอแผ่วเบา
“อาหารน่ะ” ผมรีบขยายความ “คุณชอบอาหารไหม”
ดวงตาเธอเบิกกว้าง แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างประหม่า
“อ๋อ ใช่ๆ อาหารน่ะค่ะ มันอร่อยนะ อร่อยมากเลย ฉันเคยบอกคุณหรือยังว่าคุณทำอาหารเก่งสุดๆ”
เธอมอบรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่สมมาตรนั่นให้ผมอีกครั้ง—รอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ครึ่งหนึ่งหลังม่านผมของเธอ—และบอกตามตรงว่ามันทำให้ผมละลายอยู่ตรงนั้นเลย
-----
มันกลายเป็นกิจวัตร
ทุกเย็นราวหนึ่งทุ่ม ผมจะไปเคาะประตูห้องของเอ็มม่า เดินดุ่มๆ เข้าไปในครัวของเธอราวกับเป็นเจ้าของ แล้วก็ทำมื้อค่ำให้เราสองคน บางครั้งเธอก็ช่วย บางครั้งเธอก็นั่งบนเคาน์เตอร์มองผมทำอาหารไปพลาง ชวนคุยเรื่องงาน เรื่องเพลง หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เธอเห็นในโลกออนไลน์มาในวันนั้น
แม่ของผมสังเกตเห็น
เย็นวันหนึ่ง แม่ดักผมไว้ตอนที่ผมกำลังจะออกจากบ้านพอดี ในขณะที่มือยังเช็ดจานที่เพิ่งล้างเสร็จอยู่เลย
“ลูกรัก” แม่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ก็แฝงความสงสัย “ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ดีใจนะที่ลูกมีเพื่อน แต่แม่ต้องขอถามหน่อยเถอะว่าลูกหายไปไหนทุกคืน”
ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอคำถามนี้ ผมควรบอกแม่ไหมว่าผมใช้เวลาทุกเย็นทำอาหารให้เพื่อนบ้านสาวสุดฮอตของเรา
“แม่ครับ” ผมพูด พยายามถ่วงเวลา “ผมก็แค่... เอ่อ... ไปอยู่ห้องข้างๆ น่ะครับ”
คิ้วของแม่เลิกขึ้น “กับเอ็มม่าเหรอ”
ผมพยักหน้าอย่างอายๆ “ครับ... ได้ไหมครับ”
น่าแปลกใจที่แม่กลับยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วตบหลังผมเบาๆ
“แน่นอนสิลูกว่าได้ แม่ชอบเขานะ เขาเป็นคนสุภาพมากเลย—เจอแม่ทีไรก็ทักทายตลอด”
เดี๋ยวนะ อะไรนะ
“แม่เคยเจอเขาแล้วเหรอครับ”
“สองสามวันหลังจากที่เขาย้ายเข้ามาน่ะ” แม่บอก “เราคุยกันนิดหน่อย เป็นเด็กดีมากเลย”
ผมซ่อนรอยยิ้มที่แผ่กว้างบนใบหน้าไว้ไม่อยู่
แม่ชอบเธอ
นั่นทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นอีกนิด รู้สึกเป็นจริงเป็นจังขึ้นอีกหน่อย
ผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเอ็มม่านี่มันคืออะไรกันแน่ มิตรภาพ? หรืออะไรที่มากกว่านั้น? ที่ผมรู้ก็คือ ผมชอบเวลาที่ได้อยู่ใกล้เธอ เธอทำให้ผมหัวเราะ เธอทำให้ผมประหม่า เธอทำให้ผม...รู้สึกบางอย่าง
และถ้าเธอยังยอมให้ผมทำอาหารให้เธอกินทุกคืน บางที...ความรู้สึกบางอย่างนั้นอาจจะเติบโตเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมก็ได้
บางทีนะ...บางที
สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักและตลกของไรท์ ไรท์ได้เปิดบัญชี โคไฟ แล้วนะคะ ดังนั้นถ้าใครอยากเลี้ยงขนม ส่งของขวัญ หรือแค่อยากให้กำลังใจกัน ก็แวะไปที่เพจของไรท์ได้เลย: โคไฟดอทคอม/ลูนามาร์เซโล :)
ขอบคุณมากๆๆๆ เลยนะคะที่สนับสนุนผลงานของไรท์มาตลอด ไรท์ได้อ่านคอมเมนต์ของทุกคนเลย แล้วก็ชอบมากที่ทุกคนอินไปกับเรื่องราวขนาดนี้ :)