Read with BonusRead with Bonus

บทที่ 7: ข้อผูกมัด

ลู่จิ้งฉือจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ เขาไม่ใช่คนสูบบุหรี่จัด จะสูบก็ต่อเมื่อรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ เท่านั้น

ควันบุหรี่ลอยฟุ้งไปทั่วรถ ลู่จิ้งฉือทำสีหน้าจริงจัง “นี่เป็นคำมั่นสัญญาที่ผมให้ไว้กับท่านปู่ เป็นผมเองที่ผิดต่อคุณ...คุณอยากได้อะไร ผมจะหามาให้ทุกอย่าง”

สามปีก่อน เขากับเซี่ยเหยียนยังเป็นแฟนกันอยู่ ท่านผู้เฒ่าเกิดป่วยหนักขึ้นมากะทันหัน จึงให้เขาแต่งงานกับเจียงหลาน และให้เขาสาบานว่าจะดูแลเจียงหลานเป็นอย่างดีไปตลอดชีวิต ซึ่งเขาก็ทำตามนั้น

หลังจากแต่งงานกับเจียงหลาน เซี่ยเหยียนก็เคยมาโวยวายอาละวาด เขาจึงยื่นข้อเสนอให้เธอเลือกว่าจะอยู่กับเขาต่อไป โดยเขาจะให้ทุกอย่างที่ให้ได้ยกเว้นสถานะภรรยา หรือจะรับเงินชดเชยแล้วลืมเขาไป

เซี่ยเหยียนเลือกที่จะอยู่กับเขาต่อไป

เขารักษาคำพูด ดังนั้นต่อหน้าทุกคน เขาจึงให้เกียรติและเอาใจใส่เซี่ยเหยียนอย่างเต็มที่ ยกเว้นเรื่องการแต่งงาน

ในทำนองเดียวกัน ทางฝั่งของเจียงหลาน เขาก็เคยให้สัตย์สาบานไว้เช่นกัน

เซี่ยเหยียนรู้ว่านี่คือการประนีประนอมที่สุดที่ลู่จิ้งฉือจะทำให้ได้แล้ว เธอจึงควงแขนเขาแล้วพูดออดอ้อนว่า "เบื่อขับลัมโบร์กินีแล้ว อยากได้มาเซราติคันใหม่"

"ได้สิ"

"แล้วก็ ห้ามกลับไปหาเจียงหลานหนึ่งเดือน"

ลู่จิ้งฉือสูบบุหรี่เข้าไปอีกอึกหนึ่ง แล้วขยี้ก้นบุหรี่ดับ "ได้"

เซี่ยเหยียนถึงได้ยิ้มอย่างพอใจ "เอาล่ะ ไปส่งฉันที่ทำงานได้แล้ว!"

รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป มุ่งหน้าสู่ใจกลางเมือง

ที่ร้านกาแฟ เจียงหลานเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ซือหนิงก็มาถึง

เธอหาวหวอดๆ พอเห็นเจียงหลานก็ยกมือขึ้นทักทาย "อรุณสวัสดิ์!"

เจียงหลานโบกมือตอบกลับ ที่จริงตอนนี้ก็ปาเข้าไปสิบโมงเช้าแล้ว แต่ปกติช่วงเวลานี้ไม่ค่อยมีลูกค้า ซือหนิงเลยมาสายได้หน่อย

ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ซือหนิงเห็นชุดกระโปรงที่เจียงหลานเปลี่ยนออก ก็รบเร้าจะให้เธอใส่ชุดนั้นเป็นแบบให้ตัวเองให้ได้

เจียงหลานขัดเธอไม่ได้ จึงต้องกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงอีกครั้ง แล้วขึ้นไปที่ห้องเล็กๆ ชั้นบนกับซือหนิง

ในห้องเล็กๆ นั้นมีขาตั้งวาดภาพหนึ่งอัน รอบๆ มีสีวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ที่นี่คือฐานทัพลับของซือหนิง

เธอชอบวาดรูป แต่ที่บ้านไม่อนุญาตให้เรียน เธอจึงแอบเรียนด้วยตัวเอง ต่อมาพอเปิดร้านกาแฟแห่งนี้ ก็อาศัยร้านกาแฟเป็นข้ออ้าง พอไม่มีอะไรทำก็จะมาวาดรูปที่นี่

เจียงหลานพูดไม่ได้ ทั้งยังหน้าตาน่ารัก จึงมักจะถูกซือหนิงลากไปเป็นนางแบบจำเป็นอยู่บ่อยๆ

เจียงหลานนั่งอยู่ตรงนั้น มองดูซือหนิง แสงแดดส่องผ่านขอบหน้าต่างเข้ามา อาบร่างของเจียงหลาน ทำให้เธอดูทั้งลึกลับและอ่อนโยน

ซือหนิงมองอย่างตกตะลึง รีบคว้าพู่กันขึ้นมาจรดปลายลงบนผืนผ้าใบ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจียงหลานนั่งจนตัวเริ่มแข็งทื่อไปหมดแล้ว...เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงบ่ายเสียแล้ว

ทั้งสองคนเริ่มหิว ซือหนิงมองเจียงหลานอย่างรู้สึกผิด เธอมักจะลืมเวลาเสมอเมื่อจดจ่อกับอะไรบางอย่าง

เจียงหลานโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่ซือหนิงก็ยังยืนกรานจะเลี้ยงข้าวเจียงหลานให้ได้ เจียงหลานจนปัญญา จึงต้องตกลง

ซือหนิงพาเธอไปที่ร้านอาหารตะวันตกแห่งหนึ่งซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ซือหนิงอยากจะมาลองชิมมาตลอด

ทั้งสองคนนั่งลง ซือหนิงสั่งสเต๊กสองที่ แล้วก็เริ่มเล่าให้เจียงหลานฟังอย่างไม่หยุดว่าเธอได้แรงบันดาลใจอะไรมาใหม่บ้าง

เจียงหลานนั่งฟังพลางอมยิ้มบางๆ เพื่อที่จะสื่อสารกับเธอได้ ซือหนิงถึงกับลงทุนไปเรียนภาษามือ เธอไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจที่เพื่อนเป็นใบ้ ตรงกันข้าม กลับชอบที่จะเล่าทุกเรื่องให้เจียงหลานฟังส่วนใหญ่แล้วเจียงหลานจะเป็นผู้ฟังเงียบๆ แต่บางครั้งก็จะแสดงความคิดเห็นบ้าง ทั้งสองคนเป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่คบกันมานาน

"ฉันว่าจะตั้งชื่อภาพนี้ว่า 'เทพธิดา'! เธอว่าดีไหม?"

ซือหนิงพูดอย่างกระตือรือร้น เจียงหลานปฏิเสธ แต่ซือหนิงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ "เธอก็ว่าดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ! ดีๆๆ งั้นตกลงตามนี้เลย! ผลงานชิ้นนี้จะเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกอันรุ่งโรจน์ของฉัน!"

ขณะที่ซือหนิงกำลังดีใจอยู่นั้น ก็มีเงาหนึ่งทาบทับลงมาตรงหน้าอย่างกะทันหัน ทั้งสองคนหันไปมอง ก็เห็นเซี่ยเหยียนที่ยืนทำหน้าเย็นชาอยู่

Previous ChapterNext Chapter