




บทที่ 6: ความชอบของเขา
ลู่จิ้งฉือมองเจียงหลานที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบๆ อยู่ข้างกาย แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เธอคิดว่ายังไง?”
เจียงหลาน: อะไรนะคะ?
ลู่จิ้งฉือหันไปจับพวงมาลัย “มีลูกกันสักคน”
เจียงหลานชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “คุณแม่พูดถูกแล้วค่ะ อย่ามีเลยดีกว่า”
การมีความหวังย่อมนำมาซึ่งความผิดหวัง สู้ไม่คาดหวังอะไรเลยตั้งแต่แรกยังจะดีซะกว่า
นี่คือบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้มาตลอดหลายปีนี้
ลู่จิ้งฉือมองเธอนิ่งไปครู่หนึ่ง สักพักก็หันหน้ากลับไป “แล้วแต่เธอ”
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เจียงหลานนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนผ่านไปข้างหลังด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ลู่จิ้งฉือเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ย้ายออกจากบ้านใหญ่ตระกูลลู่มาอยู่กับเธอหรอก
เขาไม่รังแกเธอ แต่เขาก็ไม่ได้อยากมีลูกกับเธอจริงๆ เขากลัวว่าเธอจะให้กำเนิดลูกที่เป็นใบ้ สำหรับเขาแล้ว เธอเป็นเพียงภารกิจที่คุณปู่ลู่มอบหมายให้ก็เท่านั้น ทั้งหมดนี้เธอรู้ดีแก่ใจ...จึงไม่เคยคาดหวังอะไรเลย
บางครั้งเธอก็แอบหวังให้ลู่จิ้งฉือใจร้ายกับเธอมากกว่านี้สักนิด แบบนั้นเธออาจจะไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอย่างนี้
รถวิ่งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งลู่จิ้งฉือมาส่งเธอที่ร้านกาแฟซึ่งเป็นที่ทำงานของเธอ
เมื่อวานฝนตก ซือหนิงจึงให้เธอหยุดงาน แต่เจียงหลานรู้สึกเกรงใจมาก จึงยืนกรานว่าจะมาทำงานให้ได้
เมื่อรถจอดสนิท เจียงหลานเพิ่งจะปลดเข็มขัดนิรภัย ก็เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ
เซี่ยเหยียนอยู่ในชุดเดรสยาวสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำลอนใหญ่สยายยาวถึงเอว ดูราวกับเทพีวีนัสผู้บริสุทธิ์และสูงส่ง
สายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างจับจ้องมาที่เธอ แต่ดูเหมือนเธอจะคุ้นเคยกับมันดีแล้ว จึงยังคงทำใบหน้าเย็นชาอยู่เสมอ ทว่าพอเห็นเจียงหลานก้าวลงมาจากรถ ใบหน้าสวยหวานพลันฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
และเปลวไฟแห่งความโกรธนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แสนหวานทันทีที่เห็นลู่จิ้งฉือ
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ลู่จิ้งฉือถามโดยไม่มีท่าทีร้อนตัวแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดีแล้ว
ใช่แล้ว เขาคุ้นเคยดีแล้ว ทุกครั้งหลังออกเดต เซี่ยเหยียนจะสามารถตามหาเขาเจอในวันรุ่งขึ้นได้เสมอ
“ฉันคิดถึงคุณค่ะ” เซี่ยเหยียนเบะปาก แววตาดูน้อยใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นชุดเดรสบนตัวของเจียงหลาน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็พลันแข็งค้าง
ลู่จิ้งฉือไม่ได้สนใจเธอ แต่พยักหน้าให้เจียงหลาน “เธอเข้าไปทำงานก่อนเถอะ”
เจียงหลานพยักหน้า เธอเหลือบมองเซี่ยเหยียนแวบหนึ่ง เห็นในดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธ จึงก้มหน้าเดินเข้าร้านกาแฟไป
เธอยืนอยู่หลังประตูกระจก แล้วหันกลับไปมองคนทั้งสองที่หน้าประตู
เซี่ยเหยียนขึ้นไปบนรถแล้ว เจียงหลานเห็นเธอหยิบอะไรบางอย่างออกมาฉีดพ่นในรถสองสามครั้งด้วยท่าทีรังเกียจ ขณะที่ลู่จิ้งฉือได้แต่มองด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความตามใจ
การลำเอียงที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ เจียงหลานไม่เคยได้รับมันเลยสักครั้ง
เมื่อรถขับจากไป เจียงหลานจึงละสายตา ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดเดรสบนตัวออก
การใส่ชุดสวยราคาแพงแบบนี้มาทำงานมันไม่เหมาะสม
ลู่จิ้งฉือไม่ได้ไปบริษัท แต่ขับรถไปส่งเซี่ยเหยียนที่พักของเธอแทน
วันนี้เขาพูดน้อยมากจนเซี่ยเหยียนรู้สึกใจคอไม่ดี เธอควงแขนของลู่จิ้งฉือแล้วเอ่ยถามอย่างออดอ้อน “ยังโกรธอยู่เหรอคะ?”
ลู่จิ้งฉือส่ายหน้าพลางมองไปที่เซี่ยเหยียนด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
“เซี่ยเหยียน ผมเคยบอกแล้วว่าถ้าคุณเต็มใจที่จะอยู่กับผม ผมก็จะรับผิดชอบคุณ ต่อให้คุณจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต ผมก็จะเลี้ยงดูคุณไปตลอดชีวิต แต่เรื่องที่จะให้ผมหย่า มันเป็นไปไม่ได้”
รอยยิ้มที่มุมปากของเซี่ยเหยียนแข็งค้างไปชั่วขณะ “เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
เมื่อวานนี้ เพียงเพราะเธอพูดหยั่งเชิงเรื่องให้เขาหย่ากับเจียงหลาน ลู่จิ้งฉือก็ทิ้งเธอไว้แล้วจากไปทันที ทำให้เซอร์ไพรส์วันเกิดที่เธออุตส่าห์เตรียมไว้เป็นอย่างดีไม่ได้แสดงให้เขาเห็นเลย
ใครๆ ต่างก็คิดว่าลู่จิ้งฉือรักเธอ ลำเอียงเข้าข้างเธอ และในใจของเขาก็มีเพียงเธอคนเดียว
แต่เธอรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก
ที่ลู่จิ้งฉือทำดีกับเธอ ไม่ใช่เพราะความรับผิดชอบหรือความรัก แต่เป็นแค่ภารกิจอย่างหนึ่งเท่านั้น
ตลอดสามปีมานี้ ทุกครั้งที่เธอพยายามจะกระชับความสัมพันธ์กับลู่จิ้งฉือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เขาก็มักจะหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงเสมอ
แต่เขาก็ไม่ได้รักเจียงหลานเหมือนกัน เขาเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้หัวใจ...ไม่รักใครเลย
เขารักแค่ตัวเองเท่านั้น