




บทที่ 5
บันทึกจากนางงามประจำชั้น...
เฮ้อ...
ใจผมเต้นตึกตักขึ้นมาทันที
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับจดหมายจากผู้หญิงมั้ง ยอมรับว่ารู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ผมไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น แล้วเหลือบมองเจ้าหมาขี้เรื้อนที่นั่งข้างๆ มันมองผมด้วยสายตาเจ็บปวดระคนอิจฉา
ผมแทบจะหลุดขำออกมา
จดหมายนั่นเดิมทีเจ้าหมาขี้เรื้อนตั้งใจจะส่งให้ชิน เว่ยเว่ย แต่ใครจะคิดว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้น มันช่างประหลาดจริงๆ
เป็นครั้งแรกจริงๆ นะเนี่ย...
ผมรู้สึกว่าตอนนี้มีคนมองมาที่ผมเยอะมาก ทำให้ผมยิ่งรู้สึกประหม่า ผมยังคงก้มหน้าคว่ำอยู่บนโต๊ะ แล้วค่อยๆ แกะจดหมายออกอย่างตื่นเต้นในอ้อมแขนของตัวเอง
นางงามประจำชั้นจะบอกอะไรผมนะ?
เธอจะชอบผมหรือเปล่า?
ผมรู้สึกว่ามือที่ถือกระดาษเริ่มมีเหงื่อซึม
อืม ลายมือสวยจริงๆ เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของชิน เว่ยเว่ยเลย
ผมคิดในใจ แล้วในที่สุดก็เปิดอ่าน
"นายยังเช็ดขี้ตาไม่หมดเลย..."
โคตรพระเจ้า...
ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย
นี่มันแกล้งผมชัดๆ!
ผมขยำกระดาษแผ่นนั้นจนยับยู่ยี่ รู้สึกเหมือนโดนโจมตีหนักหน่วงนับหมื่นแต้ม
ผมจ้องไปทางชิน เว่ยเว่ยอย่างเดือดดาล
แต่กลับเห็นเธอก้มหน้าอ่านหนังสือ ใบหน้าด้านข้างที่สวยงามนั้นมีรอยยิ้มบางๆ
บ้าเอ๊ย...
ผมถุยน้ำลายออกมาอย่างขัดใจ แต่ก็ยังลูบที่หางตาตัวเอง ไม่มีขี้ตาสักหน่อย แล้วหยิบโทรศัพท์มาส่องดู ยืนยันว่าไม่มีจริงๆ
ตอนกินข้าวเที่ยง เจ้าหมาขี้เรื้อนถามผมตลอดว่าจะจัดการเรื่องจางเฟิงยังไง มันได้ยินมาว่าจางเฟิงชวนเพื่อนผู้ชายในห้องมาทั้งหมด ตั้งใจจะตีผมให้ต้องเข้าโรงพยาบาลให้ได้
ผมบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว ผมคนเดียวก็จัดการได้
เจ้าหมาขี้เรื้อนบอกว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ นั่นมันอย่างน้อยยี่สิบสามสิบคนนะ ถ้าสู้ไม่ไหวก็วิ่งหนีเลย ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะให้เงินผม ให้ผมจัดการเรื่องนี้
ผมบอกว่าเรื่องนี้นายก่อขึ้นเอง เงินฉันรับไว้ แต่จะให้ฉันไปปรองดองกับจางเฟิง เป็นไปไม่ได้
เจ้าหมาขี้เรื้อนพึมพำอะไรสักอย่าง แล้วหยิบเงินห้าร้อยบาทให้ผม นี่เป็นเงินที่ผมต้องไปช่วยงานที่จุดรับส่งพัสดุตั้งสิบวัน ก็ไม่เลวนะ ที่ผมทำแบบนี้จริงๆ แล้วก็แค่อยากให้มันสบายใจหน่อย ถึงแม้เรื่องวุ่นวายพวกนี้จะเกิดจากมัน แต่มันก็ไม่ได้ตั้งใจ วันนี้ที่จะมีการตีกัน ไอ้ขี้ขลาดนี่คงไม่กล้าโผล่หัวมาแน่ๆ ดีกว่าเอาเงินมันซะหน่อย มันจะได้สบายใจ
ใกล้หมดคาบ รอจนคนในห้องเรียนออกไปเกือบหมดแล้ว
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า หยิบเก้าอี้ที่ผมนั่งขึ้นมา มือออกแรงดึง ขาเก้าอี้ก็หลุดออกมา สมัยมัธยม ตอนตีกันผมก็มักจะใช้ขาเก้าอี้ รู้สึกหนักแน่นดี ตีคนเจ็บมาก ใช้เสร็จก็เอากลับไปประกอบ นั่งต่อได้เลย สะดวกใช้ได้จริง แต่พอขึ้นม.6 เก้าอี้ก็เปลี่ยนเป็นพลาสติกแข็งไปแล้ว ไม่คิดว่ามาเรียนมหา'ลัยเถื่อนนี่ ยังเป็นเก้าอี้ไม้แบบโบราณอยู่เลย
"นายจะไปตีกับเขาจริงๆ เหรอ?"
ผมไม่คิดว่าชิน เว่ยเว่ยยังไม่ไป เธอนั่งอยู่ตรงนั้นมองผมด้วยสีหน้าซับซ้อน
นึกถึงเรื่องจดหมายวันนี้ ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
"ไม่เกี่ยวกับเธอ"
พูดจบ ผมก็ถือขาเก้าอี้เดินออกไป
"นายสู้เขาไม่ได้หรอก จางหยาง อย่าใจร้อน จางเฟิงเก่งมากนะ คราวนี้เขาเรียกคนมาตั้งยี่สิบคน!"
ชิน เว่ยเว่ยร้อนใจ เดินตามผมมาตลอด
ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็ยังดี พอพูดถึงผมยิ่งโมโห จางเฟิงเก่งมาก แล้วฉันเป็นอะไร ตุ๊กตาดินเหรอ? ผมรู้ว่าทุกคนไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวผม ตลอดทางที่เดินมา เพื่อนหลายคนมองผมด้วยสายตาเวทนา ทั้งคนในห้องเรียนเดียวกันและห้องอื่นๆ เรื่องนี้จางเฟิงประกาศให้ทุกคนรู้กันทั่วแล้ว
จางเฟิงไม่โง่ มันรอผมอยู่ที่ทางเลี้ยวออกจากโรงเรียน
แบบนี้ก็ไม่ถือว่าตีกันในโรงเรียนแล้ว
ผมเพิ่งจะเลี้ยวออกมา ก็เห็นคนมืดฟ้ามัวดินรออยู่