Read with BonusRead with Bonus

บทที่ 4

"นั่งดูตรงนี้แหละ" เหอจิ้งใช้มือปาดหน้าหนึ่งที "ฉันจะเก็บของแล้วไปเดี๋ยวนี้"

สายฝนยังไม่ซา

คืนฝนตกหนักที่มวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุม ผู้คนบนท้องถนนบางตา

เหอจิ้งสวมเสื้อขนเป็ด ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินอยู่ใต้แสงไฟถนน เขาไม่ได้กางร่ม แค่ดึงฮู้ดเสื้อขนเป็ดขึ้นคลุมศีรษะ

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว ผู้คนในรถไฟใต้ดินต่างรีบเร่งเพื่อจะขึ้นรถขบวนสุดท้าย เหอจิ้งก็วิ่งตามฝูงชนไปด้วย พุ่งขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนสุดท้ายทันพอดี

เขาลากกระเป๋าแล้วพิงประตูรถไฟด้วยลมหายใจหอบ หลังจากพักหายใจครู่หนึ่ง เขากลับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนได้

เงินที่มีอยู่พอจะนอนโรงแรมคืนนี้ได้ แต่เมื่อตกงานแล้ว หลังจากเงินในมือหมด เขาจะต้องไปนอนเร่ร่อนตามท้องถนนจริงๆ หรือ?

ให้คนที่บ้านส่งเงินมาให้? เขายังไม่หน้าด้านถึงขนาดนั้น

ขณะที่รถไฟใต้ดินแล่นไป นอกหน้าต่างรถมีป้ายโฆษณาโค้กเคลื่อนไหวผ่านไป ในโฆษณาเป็นภาพครอบครัวอบอุ่น ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ชูแก้วขึ้น ทุกคนยิ้มอย่างผ่อนคลายและอบอุ่น

ผ่านไปไม่กี่วินาที โฆษณาก็หายไป นอกหน้าต่ารถกลับมืดสนิทอีกครั้ง

เหอจิ้งเบือนหน้าไปทางอื่น สายตากวาดมองผู้คนในตู้โดยสารที่มีสีหน้าเหนื่อยล้า แล้วจึงมองกลับไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ไม่นาน รถไฟใต้ดินก็แล่นขึ้นสู่พื้นดิน ไต่ขึ้นไปบนทางยกระดับ ในม่านฝน ทิวทัศน์ตามเส้นทางไม่ค่อยชัดเจน มีเพียงแสงไฟระยิบระยับที่ทอดยาวไปสุดขอบฟ้า

ครู่ใหญ่ เหอจิ้งถอนหายใจในใจ—เมืองนี้รุ่งเรืองถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีที่ให้เขาพักพิง

"...ถึงสถานีสนามฟุตบอลแล้ว รถจะเปิดประตูฝั่งซ้าย ผู้โดยสารที่จะลงโปรดลงทางประตูฝั่งซ้าย"

เมื่อประตูรถไฟใต้ดินเปิดออก ผู้คนที่เมื่อครู่ยังนั่งอยู่ต่างลุกขึ้นพร้อมกัน มุ่งหน้าไปยังประตู เหอจิ้งที่ยืนอยู่ที่ประตูมาตลอดกำลังครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง ไม่ได้ยินชัดว่ามาถึงสถานีอะไร จนกระทั่งมีคนมองเขาด้วยสายตา "อย่าขวางทาง" หลายคน เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าน่าจะมาถึงสถานีใหญ่แล้ว

ในเมื่อไม่รู้ว่าควรไปไหน ลงตรงนี้ก็แล้วกัน คิดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ลากกระเป๋า ตามคนอื่นๆ ลงจากรถไปอย่างว่าง่าย

อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนอยู่ที่ปากทางออกรถไฟใต้ดิน เขาพบว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ ดูคุ้นตาอยู่บ้าง

ลังเลอยู่พักใหญ่ เหอจิ้งจึงตัดสินใจเด็ดขาด ลากกระเป๋าไปในทิศทางหนึ่ง

"เมี้ยว~ เมี้ยว~"

ฮั่นเจ้ามองแมวลายด่างที่ไม่อยู่นิ่งตัวนี้ที่ข่วนประตูเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยเอ็ดของคืนนี้ เขาวางแฟ้มในมือลงอย่างจนใจ

"นี่มันไม่ใช่ฤดูใบไม้ผลิ แกออกไปก็ไม่มีใครไปเที่ยวกับแก—แถมแกยังเป็นขันทีอีกต่างหาก" เขาย่อตัวลง อุ้มแมวลายขึ้นมา แล้วจิ้มจมูกเย็นๆ ของมัน "หรือว่าแกอยากกลับหางโจวล่ะ?"

แมวตัวนี้เขาพามาจากหางโจว เขาเคยได้ยินว่าแมวจำสถานที่ได้ไม่ใช่จำคน บางทีมันอาจจะอยากกลับที่เดิมหรือเปล่า?

ถึงแม้จะอยู่ในอ้อมแขนของเขา แมวลายก็ยังไม่อยู่นิ่ง ขาหน้าทั้งสองข้างพยายามตะกุยไปทางประตู ปากก็ยัง "เมี้ยว~ เมี้ยว~" ไม่หยุด

ฮั่นเจ้าจนปัญญา จึงอุ้มมันด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือก็เปิดประตู

ไฟในทางเดินสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ฮั่นเจ้าก้าวออกไปหนึ่งก้าว ใช้มือเดียวยื่นแมวออกไปนอกประตู "แกดูเองสิ ข้างนอกไม่มีอะไรเลย..."

พูดได้ครึ่งประโยค ทั้งคนทั้งแมวต่างมองเห็นร่างที่นั่งพิงอยู่ริมทางเดิน เสียงพูดหยุดกึก

เหอจิ้งห่อตัวในเสื้อผ้าที่เปียกฝน กำลังเงยหน้ามองฮั่นเจ้า ดวงตาเปียกชื้น ดูคล้ายลูกหมาจรจัดที่ถูกทอดทิ้งไม่มีผิด

Previous ChapterNext Chapter