Read with BonusRead with Bonus

บทที่ 2

นวนิยายจีน

เสียงระฆังเลิกเรียนดังขึ้นจากลำโพงที่ผูกติดกับต้นไม้เก่า ไล่ฝูงนกเล็กๆ ที่กำลังพักผ่อนในรังให้บินหนีไป ตึกเรียนพลันเดือดพล่านราวกับหม้อที่ระเบิดฝา เสียงหัวเราะ การวิ่งไล่กัน เปี่ยมไปด้วยความงดงามของวัยเยาว์

กลุ่มนักเรียนชายยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ เด็กหนุ่มที่หล่อที่สุดในกลุ่มกอดลูกบาสเก็ตบอลไว้ในมือ มุมปากเคี้ยวหมากฝรั่ง เป่าฟองเป็นระยะ สายตากวาดมองหาอะไรบางอย่างในทะเลมนุษย์

ในช่วงวัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน เหล่าหนุ่มร่างสูงที่ประตูคือภาพที่ทำให้สาวน้อยนับพันต้องเหม่อลอย สาวๆ ที่เดินผ่านต่างใช้หางตาแอบมองเพื่อยั่วยวนสักสองสามวินาที แล้วจึงเดินผ่านไปราวกับไม่เห็น

กู้เสี่ยวหรี่ตาลง เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยในฝูงชน เขายิ้มกว้าง เผยให้เห็นเขี้ยวขาวสะอาด

คนที่เดินมาคือเหยียนหลี่ เสี่ยวเสี่ยว และอ้วนจื้อ

เหยียนหลี่ยืนอยู่ริมสุด สะพายกระเป๋าหนังสือสีน้ำตาลที่ดูหนักอึ้ง ผมประบ่าปลิวไหวตามสายลม เผยให้เห็นใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มขนาดฝ่ามือ ไม่มีสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ แต่กำลังมองเขาอย่างจริงจัง

เสี่ยวเสี่ยวกับอ้วนจื้อสบตากันแล้วยิ้ม พร้อมใจกันยักไหล่ บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเรื่องซุบซิบ

กู้เสี่ยวส่งสัญญาณให้เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆ เพื่อนทุกคนเข้าใจความหมายโดยไม่ต้องพูด ต่างขี่จักรยานแยกย้ายกันไป

อ้วนจื้อพูดว่า: "เอาล่ะ ทหารรักษาดอกไม้กลับมาแล้ว เหยียนหลี่ ต่อไปนี้เลิกเรียนเราคงไปด้วยกันไม่ได้แล้ว โถ แย่งไส้กรอกเธอกินไม่ได้แล้วสิ"

เสี่ยวเสี่ยวยิ้มน้อยๆ แล้วเอานิ้วจิ้มแขนอ้วนจื้อ

เธอล้อเลียนว่า: "นายนี่คิดแต่เรื่องกิน"

ทั้งสามคนมักจะแวะซื้อไส้กรอกปิ้งกินทุกครั้งหลังเลิกเรียน ไส้กรอกที่น้ำมันซึมออกมาโรยพริกป่นสีแดงจัด กัดทีแรกทั้งร้อนทั้งหอม แต่ทุกครั้งก่อนที่เหยียนหลี่จะได้กัดสักคำ อ้วนจื้อก็จะแย่งไปกินเสียก่อน เธอมักจะหันไปบอกคนขายว่า "ขออีกอันนะคะ"

เสี่ยวเสี่ยวยืดตัวขึ้นตบไหล่กู้เสี่ยว มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ ที่แทบมองไม่เห็น

"ไอ้หนุ่ม ฝากแก้วตาดวงใจของฉันไว้กับนายล่ะ ไปกันเถอะอ้วนจื้อ วันนี้ฉันเลี้ยงไส้กรอก"

เสี่ยวเสี่ยวเดินห่างออกไปแล้ว แต่สีหน้าค่อยๆ เย็นชาลง

อ้วนจื้อเดินตามหลังเธอไป

"จริงเหรอ?"

"จริงสิ"

...

เสียงของทั้งสองค่อยๆ หายไปในฝูงชนที่แน่นขนัด

กู้เสี่ยวเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าหนังสือหนักอึ้งของเหยียนหลี่มาสะพายไว้บนบ่าของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว วางลูกบาสเก็ตบอลในตะกร้าหน้าจักรยาน แล้วยกขายาวๆ ขึ้นคร่อมจักรยาน นั่งลงไป หันหลังกลับมามองเหยียนหลี่

"ขึ้นมาสิ"

เหยียนหลี่ยืนนิ่งอยู่กับที่

ผ่านไปสักพัก เธอขยับปาก

"คราวนี้ นายจะอยู่นานแค่ไหน?"

กู้เสี่ยวเอาเท้าข้างเดียวยันพื้น เอียงหัวคิดสักครู่

"อืม... สักอาทิตย์มั้ง"

กู้เสี่ยวเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ เป็นคนดังของเมืองเล็กๆ นี้ เขามักจะตามโค้ชไปแข่งขันตามที่ต่างๆ แม้จะเป็นนักเรียนโรงเรียนสี่จงเหมือนกัน แต่แทบไม่ค่อยปรากฏตัวที่โรงเรียน

เหยียนหลี่กับกู้เสี่ยวเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เป็นที่รู้กันว่าเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็ก

เหยียนหลี่จัดชายกระโปรง นั่งด้านข้างบนเบาะหลังจักรยาน มือจับเสื้อของเขาเบาๆ

กู้เสี่ยวก้มตามอง สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

"กอดฉันสิ"

เหยียนหลี่ทำเป็นไม่ได้ยิน กู้เสี่ยวยิ้มมุมปาก เท้าที่อยู่บนแป้นจักรยานกระทืบแรงๆ จักรยานพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างของเธอกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของเขาตามแรงเฉื่อย มือทั้งสองกอดเอวเขาแน่น

เหยียนหลี่ขมวดคิ้ว

กู้เสี่ยวยิ้มหวานยิ่งขึ้น

เมื่อได้ดังใจแล้ว เขาก็เริ่มปั่นจักรยานอย่างนุ่มนวลและมั่นคง

ล้อจักรยานกลิ้งผ่านทางลาดที่เต็มไปด้วยใบแปะก๊วย อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ลมพัดแรงจนแทบลืมตาไม่ขึ้น บางครั้งก็มีเม็ดทรายเล็ดลอดเข้ามา

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง

จักรยานจอดที่หน้าตึกบ้านของเหยียนหลี่ เธอรับกระเป๋าหนังสือมาสะพาย เงยหน้ามองเขา

"กลับบ้านเถอะ ฉันขึ้นไปล่ะ"

พูดจบ เหยียนหลี่หันหลัง เดินไปทางช่องบันไดที่มืดสนิท

กู้เสี่ยวมองตามเหยียนหลี่ไปตลอด ในใจพลันรู้สึกขมขื่น

ขณะที่เหยียนหลี่เดินขึ้นบันได กู้เสี่ยวเงยหน้ามองเงาร่างผอมบางของเธอ

"สู้ๆ กับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะ ฉันรอเธออยู่ที่ปักกิ่ง"

เท้าของเธอชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันกลับมา ไฟเซ็นเซอร์ในช่องบันไดดับลง ทันใดนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดสนิท มืดจนมองไม่เห็นใบหน้าของเหยียนหลี่

เธอนึกถึงกระดาษสีที่บังเอิญพบในโต๊ะของเสี่ยวเสี่ยว บนกระดาษเขียนชื่อกู้เสี่ยว กู้เสี่ยว กู้เสี่ยว ความรู้สึกอันระมัดระวังและสวยงามที่ประดับอยู่บนกระดาษสีเล็กๆ เหมือนดอกไม้ตูมที่รอการบาน เมื่อบานแล้วคงงดงามเพียงใด

เหยียนหลี่ล้วงกุญแจจากกระเป๋า เสียบเข้ารูกุญแจ หมุน เปิดประตู รองเท้าหนังสีดำข้างหนึ่งปลิวมากระแทกหน้าผาก แรงกระแทกรุนแรงทำให้เหยียนหลี่ต้องหลับตา แต่เธอไม่ได้ถอยหลัง ยังคงยืนตรง แสงไฟในห้องไม่ได้ส่องมาถึงตัวเธอ ร่างผอมเล็กซ่อนอยู่ในความมืด

เสียงด่าทอแหลมสูงปนสะอื้นไห้ดังออกมาจากห้อง ทำให้ไฟเซ็นเซอร์ในช่องบันไดสว่างขึ้น

ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ตามด้วยฟ้าแลบสว่างวาบน่าตกใจฉีกผ่านท้องฟ้า แล้วตามมาด้วยเสียงฝนเทกระหน่ำ กระทบลงบนขอบหน้าต่าง กระทบลงบนพื้น กระทบลงในใจ สาดกระเซ็นเป็นละอองน้ำ

ฝนตกอีกแล้ว

อากาศในเมืองเล็กๆ นี้ไม่เคยแน่นอน

เหยียนหลี่เก็บรองเท้าหนังจากพื้นแล้วเดินเข้าบ้าน ปิดประตู เปลี่ยนรองเท้า ยกมือขึ้นเช็ดฝุ่นที่หน้าผากที่ถูกรองเท้าขีดข่วน แม้แตะเบาๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบ ผมปรกลงมาปิดใบหน้าตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย มองไม่เห็นว่าเธอแสดงสีหน้าอย่างไร

"ไอ้ตระกูลเหยียนพวกแกไม่มีใครรู้จักรักหน้าตัวเอง! ไม่มีใครรู้จักรักหน้าตัวเอง! หย่า! ฉันบอกว่าฉันจะหย่า!"

โจวฮุ่ยถือรองเท้าหนังอีกข้างชี้ไปที่พ่อ ใบหน้าสวยงามยั่วยวนเต็มไปด้วยน้ำตา ผมยุ่งเหยิง ดวงตาที่เศร้าโศกเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เหยียนต้าฮุยดูเหมือนดื่มเหล้ามามาก ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างมึนงง หลังพิงโซฟา ก้มหน้า พึมพำ

"อย่ามาทำเสียงดังที่นี่"

"ได้ ฉันไม่ทำเสียงดัง นายไปหย่ากับฉัน ปล่อยฉันไป ฉันขอร้อง ฉันขอร้องนาย..."

"ปล่อยฉันไป..."

โจวฮุ่ยทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้นเย็นเฉียบ เงยหน้าขึ้น ดวงตาว่างเปล่าแห้งผากและแดงก่ำ ปลายนิ้วสั่นระริก สีหน้าผิดปกติและบิดเบี้ยว น้ำตาไหลลงคางครั้งแล้วครั้งเล่า

เหยียนต้าฮุยลุกขึ้นด้วยความโกรธ เงาดำทาบทับลงบนตัวเหยียนหลี่ เขายืนเอียงตัว ยื่นมือไปคว้าผมของโจวฮุ่ย ลากเธอไปทางห้องน้ำ

"ปล่อยฉัน! นายปล่อยฉัน! เหยียนต้าฮุย! ไอ้สัตว์ ไอ้สัตว์..."

"หุบปาก!"

ปัง! ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างแรง แม้จะมีประตูกระจกกั้น เสียงร้องไห้และวิงวอนอย่างสิ้นหวังก็ยังดังชัดเจนกระทบแก้วหู

ในห้องนั่งเล่นกว้างใหญ่เหลือเพียงเหยียนหลี่คนเดียว ใบหน้าเล็กละเอียดอ่อนซ่อนอยู่ในเงามืด มีเพียงลมจากนอกหน้าต่างที่เล่นกับเส้นผมของเธอ ดวงตาสีดำสนิทมีแววเศร้าหมองวูบผ่าน ดูเย็นชาน่ากลัว

เธอเหมือนคนนอกที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

เหยียนหลี่สะพายกระเป๋าหนังสือหนักอึ้ง ก้มหน้าหลังงอ เดินผ่านห้องนั่งเล่นเข้าไปในห้องนอน เปิดไฟ ปิดประตู วางกระเป๋า นั่งลงบนเก้าอี้ เธอหยิบข้อสอบจำลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกมาจากกระเป๋า ก้มหน้าลงบนโต๊ะ จับปากกา ม่านตาหดเล็ก เริ่มทำโจทย์อย่างจริงจัง

ฝนข้างนอกไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

บางครั้งฟ้าแลบวาบผ่านท้องฟ้า แล้วหายไปในพริบตา แสงสว่างจ้าส่องผ่านหน้าต่างกระทบศีรษะของเธอที่แทบจะจมลงในข้อสอบ ผมสีดำสนิทเป็นประกายวาววับ แต่เธอไม่สนใจ สายตาจดจ่ออยู่กับข้อสอบ

เสียงหยาบคาย รุนแรง สิ้นหวัง และปวดร้าวจากห้องน้ำดังขึ้นบ้าง เบาลงบ้าง เพื่อนบ้านชั้นล่างทยอยมารวมตัวกัน กางร่มพูดคุยนินทา

เหยียนหลี่ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง มือที่จับปากกามีเหงื่อซึม

ขนตายาวบางราวกับเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ทำให้ไม่มีใครกล้าแอบดูความลับในดวงตาของเธอ เธอโยนตัวเองลงในทะเลโจทย์ ไม่รู้สึกหายใจไม่ออก ไม่รู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำตาย

เธอเขียนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากแน่น ในใจราวกับซ่อนระเบิดลูกหนึ่ง ปล่อยไอร้อนระอุ กำลังจะทำลายโลกทั้งใบให้ราบเป็นหน้ากลอง

ในที่สุด ปลายปากกาฉีกขาดสมุดงาน ทิ้งรอยลึกไว้บนกระดาษ หลังของเธอตรงดิ่ง ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ แต่ขอบตาค่อยๆ แดงขึ้น

ในความเงียบ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลง ซึมลงในสมุดที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน

พระเจ้าดูเหมือนจะรับรู้ความเศร้าโศกของเธอ เสียงฟ้าร้องดังสนั่นกึกก้อง ตูมสนั่นแตกกระจายในท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมแรงพัดผมหน้าม้าของเธอขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดขาวและหม่นหมอง

"อ๊าาา!"

พร้อมกับเสียงฟ้าร้อง คือเสียงกรีดร้องปวดใจจากห้องน้ำ น่ากลัวยิ่งกว่าเสียงผีผู้หญิงในหนังสยองขวัญ สิ้นหวังยิ่งกว่าถูกบดกระดูกโปรยเถ้า

เสียงกรีดร้องนั้นทำให้เหยียนหลี่ก้มหน้าลง

น้ำตาหยดลงบนข้อสอบ

อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวอักษรบนข้อสอบเลอะเลือน

Previous ChapterNext Chapter