




บทที่ 1
ผู้มีชะตาร้ายแห่งกว่านจงชูเหลียง
ในแคว้นกว่านจงชูเหลียง มีนักอ่านผู้หนึ่งซึ่งโชคชะตาไม่เป็นใจ นามว่าเฉียวฟ่าง แม้อายุจะสามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นเพียงนักเรียนขั้นต้น ตระกูลเฉียวเคยเป็นสกุลใหญ่มีชื่อเสียงแถบเมืองอวี่สุ่ย สืบสายตระกูลย้อนไปได้กว่าพันปี แต่เมื่อราชวงศ์เปลี่ยนผ่าน จักรพรรดิองค์ใหม่ไม่โปรดตระกูลใหญ่สมัยก่อนที่ครองอำนาจในท้องถิ่น จึงกดขี่ข่มเหงและแทนที่ด้วยขุนนางหน้าใหม่ มาถึงรุ่นเฉียวฟ่าง ตระกูลเฉียวตกอับลงแล้ว หากปีนี้เขายังสอบไม่ผ่านเป็นซิ่วไช่ เกรงว่าเรือนบรรพบุรุษตระกูลเฉียวคงต้องถูกขายทิ้งแล้ว
ภรรยาของเฉียวฟ่างเพิ่งซักผ้าสกปรกเสร็จท่ามกลางสายลมเย็น เมื่อได้ยินเสียงลูกร้องหิว นางก็สะบัดมือที่แดงเพราะความหนาวไปเปิดฝาโอ่งข้าว นางมองดูข้าวฟ่างบางๆ ก้นโอ่งดินเผาแล้วอดรู้สึกเศร้าไม่ได้ จึงระบายความขมขื่นว่า "อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ วันๆ เอาแต่เดินเตร่มือเปล่า อ่านไม่ได้เงินสักกึ่งตำลึง มีประโยชน์อะไร มีประโยชน์อะไรกัน!"
เสียงบ่นลอดผ่านรูกระดาษหน้าต่างเข้าไปในห้องหนังสือ เฉียวฟ่างที่กำลังท่องตำราในชุดนวมเก่าขาดๆ เผยสีหน้าดูแคลนออกมาก่อน แล้วจึงส่ายหน้าถอนใจ
"ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว ไม่เพียงแต่ซื้อเนื้อไม่ได้ แม้แต่ข้าวต้มก็จะไม่มีกิน เจ้าน่าจะหย่ากับข้าเสียเถอะ ข้าจะได้พาลูกทั้งสองกลับไปขออาหารที่บ้านเดิม!" เสียงบ่นของภรรยาดังมาแต่ไกลอีกครั้ง
เฉียวฟ่างจำใจลุกขึ้น เดินอ้อมไปที่ห้องหลัง หวังจะค้นหาดูว่าในบ้านยังมีอะไรที่พอจะนำไปจำนำเอาเงินได้บ้าง แต่บ้านของเขาเหลือแต่ผนังว่างเปล่า ไม่มีของมีค่าให้หาอีกแล้ว จำเป็นต้องเดินผ่านระเบียงทางด้านตะวันออกของห้องหลังไปยังศาลบรรพชนที่ตั้งป้ายวิญญาณบรรพบุรุษตระกูลเฉียว แล้วยืนเหม่อมองป้ายวิญญาณเหล่านั้น
ศาลบรรพชนนี้แม้จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และไม่ได้มีธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้มานาน แต่ก็แตกต่างจากที่อื่นๆ ในคฤหาสน์เก่าตระกูลเฉียว ที่นี่แม้ไร้แสงตะเกียง แต่กลับไม่มืดทึบ แม้ไม่ได้กวาดมานาน แต่ก็ยังคงปราศจากฝุ่นผง ตามที่เฉียวฟ่างรู้มา ความมหัศจรรย์นี้เกิดจากกล่องไม้จันทน์ม่วงใบหนึ่งที่วางอยู่หลังป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ
เฉียวฟ่างเคยคิดถึงกล่องใบนั้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตระกูลเฉียวมีคำสั่งสอนจากบรรพบุรุษ ห้ามลูกหลานรุ่นหลังเปิดกล่องไม้นั้นหรือยกให้ผู้อื่น
เฉียวฟ่างเดาว่าในกล่องไม้นั้นต้องมีสิ่งวิเศษอยู่แน่ จึงไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ แต่บัดนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก ยังอีกหลายเดือนกว่าจะถึงการสอบ บ้านก็กำลังจะถูกขาย จะให้ทั้งครอบครัวกอดกล่องนั้นออกไปขอทานหรือ?
คิดได้ดังนั้น เฉียวฟ่างจึงกระทืบเท้าแล้วหยิบกล่องไม้ลงมา
กล่องไม้จันทน์ม่วงนี้ใช้วัสดุดี แต่ฝีมืองานไม่ถึงกับประณีต รูปทรงยาวแคบ คล้ายกับหีบใส่ดาบยาว เฉียวฟ่างหนีบกล่องยาวนั้นเดินตรงไปยังโรงรับจำนำ เขาก้มหน้าไม่อยากสบตากับพนักงานที่เคาน์เตอร์ เพียงผลักกล่องไม้ไปข้างหน้า
พนักงานจำเฉียวฟ่างได้ทันที และรู้ว่าคนผู้นี้รักษาหน้าตาเสมอ จึงไม่ทักทายมากนัก แต่พิจารณากล่องไม้แล้วถามว่า "ต้องการจำนำอะไรหรือขอรับ?"
เฉียวฟ่างคิดไปคิดมาไม่กล้าเปิดกล่องไม้นั้น กลัวว่าจะมีสิ่งผิดปกติ จึงตอบคำถามของพนักงานไม่ได้
พนักงานเห็นเฉียวฟ่างลังเลไม่พูด จึงเปิดกล่องเอง เฉียวฟ่างเห็นฝากล่องเปิดขึ้น รีบถอยหลังไปสองก้าว แต่ในโรงรับจำนำทุกอย่างเป็นปกติ ในกล่องมีเพียงม้วนภาพธรรมดาๆ ม้วนหนึ่ง
"ภาพเก่าชำรุดเปื้อนเสียหายหนึ่งม้วน ขออภัย ไม่รับจำนำ กล่องไม้จันทน์ม่วงฝีมือหยาบหนึ่งใบ รับห้าสิบเหรียญทองแดง" พนักงานพลิกดูม้วนภาพและกล่องไม้ แล้วร้องประกาศเสียงดัง ตามธรรมเนียมของโรงรับจำนำ
ภาพเก่าก็ช่างเถอะ แต่กล่องไม้จันทน์ม่วง ทำไมถึงมีค่าแค่ห้าสิบเหรียญ? แต่เมื่อเฉียวฟ่างได้ยินเสียงร้องที่มีคำว่า "ชำรุด" บ้าง "หยาบ" บ้าง ก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนไฟลน รีบคว้าม้วนภาพและเงินทองแดงแล้วหันหลังจากไป ไม่ยอมอยู่นานกว่านั้น