




สาวของแฮงค์
-เคเลบ-
โรคการกินผิดปกติเหรอ
“อะไรนะ เป็นอะนอเร็กเซียหรือไง” ผมถามอย่างตกใจสุดขีด
น้องเลี้ยงของผมขดตัวชิดกับประตูรถ เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าผม และไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดิมๆ ด้วย
ผมกวาดตามองโจเซลิน พยายามมองหาว่าอะไรที่ทำให้เธอคิดว่าตัวเองต้องเป็นอะนอเร็กเซีย
“บูลิมิกต่างหาก แล้วเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว” แม่พูดเสียงเข้ม
ใช่ เรื่องนี้มันไม่ควรถูกยกขึ้นมาตั้งแต่แรก แต่แฮงค์ คอลลินส์น่ะมันพวกไร้ความรู้สึกสิ้นดี ทุกอย่างตลกไปหมด ไม่มีอะไรที่แตะต้องไม่ได้
แม่ว่ามันมีเสน่ห์ แต่ปกติมันทำให้ผมหัวเสีย โดยเฉพาะเวลาที่เขาทำให้โจเซลินต้องตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดเหมือนที่กำลังทำอยู่ตอนนี้
ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องเลี้ยงคนนี้แอบชอบผม ตอนเธออายุสิบห้าแล้วมาระบายความในใจให้ผมฟัง ผมยอมรับเลยว่าเป็นคนแรกที่รับมือกับมันได้ไม่ดีนัก ผมช็อกไปเลย
แต่ตั้งแต่นั้นมา แค่นึกถึงดวงตาสีเขียวซุกซนคู่นั้นกับผมสีดำขลับหนานุ่ม ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างที่น่าจะเป็นสาวพินอัพสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้สบายๆ ก็ทำเอาไอ้น้องชายผมกระตุกแล้ว
มันกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับบ้านจากมหา'ลัยหลังจากที่ผมเริ่มคิดกับเธอในแง่นั้น
โชคดีที่แฮงค์เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นตามที่แม่บอก แต่ความเสียหายมันเกิดขึ้นแล้ว โจเซลินดูหดหู่สิ้นดี
บางทีถ้าเราไม่ใช่พี่น้องต่างบิดามารดา พ่อแม่เราไม่ได้อยู่ในรถด้วย และโจเซลินไม่ได้อายุน้อยกว่าผมสี่ปี ผมคงฉวยโอกาสนี้แสดงให้เธอเห็นแล้วว่ารูปร่างของเธอมันสวยงามแค่ไหน แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้คือยื่นมือถือให้เธอ
“เล่นซูโดกุกันไหม” ผมถาม
มุกวงในใหม่ของเราทำให้เธอหัวเราะออกมานิดหน่อย และโจเซลินก็ผ่อนคลายลง แยกตัวออกจากประตูแล้วรับมือถือผมไปจ้องหน้าจอสีดำอยู่พักหนึ่ง
ผมกลั้นหายใจตอนที่ปลายนิ้วเราสัมผัสกันแผ่วเบา และบอกไอ้เวรข้างล่างของผมให้สงบสติอารมณ์ลงซะบ้าง
ทุกคริสต์มาสและวันขอบคุณพระเจ้า ตอนที่ผมไม่มีข้ออ้างที่จะไม่กลับบ้าน มันยิ่งอึดอัดมากขึ้น โจเซลินไม่มองหน้าผม และให้ตายสิ ผมก็มองหน้าเธอไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ในแบบที่เธอยิ่งโตยิ่งสวยขึ้นทุกวันแบบนี้
พอมีทริปนี้ขึ้นมาแล้วแฮงค์ไม่ยอมรับคำปฏิเสธ แถมยังขู่เป็นการส่วนตัวว่าจะไม่จ่ายค่าเทอมแพทย์ที่เขาสัญญาไว้ถ้าผมไม่ “เริ่มเข้ากันได้ดี” กับ “น้องสาว” ผมรู้ว่าผมน่าจะโวยวายได้ ผมน่าจะไปฟ้องแม่ได้ แต่มันดูไร้สาระมากในตอนนั้นที่จะสร้างความร้าวฉานในชีวิตคู่ของพวกเขาเพียงเพราะทริปแคมปิงทริปเดียว
แล้วผมก็ได้เห็นโจเซลิน สวมกางเกงยีนส์ที่ขาดเซอร์ในจุดที่ควรจะเป็น กับเสื้อยืดหลวมๆ ที่ถึงกระนั้นก็แทบจะปิดบังส่วนสัดอันยอดเยี่ยมของเธอไม่ได้มิด ผมรู้ตั้งแต่วินาทีที่แฮงค์เอาเป้กันน้ำของผมไปโยนไว้ท้ายรถซูเบอร์บันแล้วว่าผมน่าจะดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิตก่อนจะยอมมาทริปนี้
เพราะปีศาจร้ายในส่วนลึกของใจผมมันรู้ว่าอีกสองวัน โจเซลินก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว
มันเป็นหนึ่งในกำแพงมากมายที่ผมสร้างขึ้นกั้นระหว่างตัวเองกับความปรารถนาอันต่ำทราม ถ้าโจเซลินยังไม่สิบแปด ไม่มีทางที่ผมจะแตะต้องเธอ แล้วยังมีเรื่องที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีกคือการที่เธอเป็นน้องเลี้ยงของผม และอายุน้อยกว่าผมสี่ปี
แล้วก็... แล้วก็... แล้วก็...
ผมยกข้ออ้างทั้งหมดมาเรียงกันอย่างระมัดระวัง ทีละข้อๆ เพื่อพยายามหยุดตัวเองไม่ให้มีความคิดลามกเกี่ยวกับโจเซลิน ส่วนใหญ่มันก็ได้ผล
แต่ก็นั่นแหละ ส่วนใหญ่แล้ว ผมไม่ได้มีโจเซลินตัวเป็นๆ นั่งอยู่ข้างๆ ถือมือถือผม จ้องมองไปยังความว่างเปล่าที่ไร้จุดหมายแบบนี้
ให้ตายสิ ผมอยากเป็นอัศวินม้าขาวให้เธอจริงๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้ในเรื่องนั้นคือหาทางให้เธอหลุดออกจากวงสนทนาของครอบครัว ก่อนที่แม่ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือแฮงค์ จะตัดสินใจเซ้าซี้เธอมากกว่านี้
“แล้วที่ยูออฟเอ็มเป็นไงบ้าง” แฮงค์ถามขึ้น ทำลายการทะเลาะกันเบาๆ ที่เขามีกับแม่ซึ่งจบลงด้วยเสียงจูบจ๊วบจ๊าบมากขึ้น
บางทีพวกเขาก็น่าคลื่นไส้ แต่ผมดีใจที่แม่มีความสุข “ยังได้ที่สามของชั้นครับ” ผมตอบ มันมากกว่าที่ผมเคยบอกเขาปกติ เพราะผมชอบเก็บเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะจากแฮงค์ แต่ผมคิดว่าถ้ามันช่วยลดแรงกดดันให้โจเซลินได้ ผมก็ยอมเสียสละได้
“จริงเหรอ เยี่ยมไปเลย!” แฮงค์พูด “แล้วปีนี้จะไปจอห์นส์ ฮอปกินส์ เรียนปริญญาโทหรืออะไรก็ตามที่เป็นขั้นต่อไปของหมอใช่ไหม”
“แฮงค์คะ” แม่พึมพำ “เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ เคเลบจะไปปีหน้า เขาจะพักหนึ่งปีก่อน”
“ไม่งั้นเทอมผมคงเริ่มไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะครับ” ผมเสริม
แฮงค์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “อ้อ ใช่สิ งั้นตอนนี้ก็ทำงานอยู่สินะ”
“ครับ ผมจะเป็นผู้ช่วยวิจัยพาร์ตไทม์ให้อาจารย์ท่านหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปี” ผมตอบ แฮงค์เป็นคนหัวโบราณที่เชื่อเรื่องการทำงานหนัก ผมนับถือเขาในเรื่องนั้น แต่นั่นก็หมายความว่าผมรู้ว่าอะไรจะตามมา
“พาร์ตไทม์เหรอ ทำไมแค่พาร์ตไทม์ล่ะ ไม่เห็นจะทำอะไรเลยนี่” แฮงค์ทำเสียงฮึดฮัด
“โอ๋ ให้แกได้พักบ้างเถอะค่ะแฮงค์ เขาทำงานหนักมากนะ” แม่พูดแทรก
“ผมไม่ได้ว่าเขาไม่ทำงานหนักนะ ผมแค่จะบอกว่า—”
“ถึงแล้ว!” โจเซลินพูดขัดขึ้น ดับถ่านไฟแห่งความโกรธที่เริ่มคุกรุ่นในท้องผม
แฮงค์เงยหน้ามองแถบพลาสติกสีส้มธรรมดาๆ หลายเส้นที่ผูกติดยื่นออกมาจากต้นสนแล้วหักเลี้ยวซ้ายกะทันหัน
รถเรากระเด้งออกจากถนนลูกรังสำหรับขนซุงเข้าสู่ทางลาดที่เป็นหินทรายอัดแน่น มีรถกระบะจอดอยู่ข้างหนึ่ง รถบ้านเล็กๆ อีกข้างหนึ่ง และเรือสองลำผูกไว้ข้างท่าเทียบเรือตรงริมกองหินระเกะระกะ
ทะเลสาบชิมเมอร์ จุดหมายของเรา อยู่ห่างออกไปเพียงสิบสองฟุต เป็นประกายระยิบระยับสมชื่อเมื่อต้องแสงอาทิตย์
ต้นสนสูงชะลูดลำต้นผอมเกร็งกับต้นเบิร์ชอีกหย่อมหนึ่งล้มระเกะระกะทับกันไปมาจนเกิดเป็นพงไม้ทึบมืดดูลึกลับอยู่รอบทะเลสาบ ใช่ว่าจะมองเห็นทะเลสาบได้ทั้งหมดจากจุดนี้เสียเมื่อไหร่ ตามที่แฮงค์บอก คุณสามารถเดินทางแบบแบกเรือแคนูข้ามบกผ่านทะเลสาบเจ็ดแห่งได้เพียงแค่เข้าถึงทะเลสาบแห่งนี้ ทะเลสาบที่เราจะไปตกปลากันคือ ทะเลสาบชิมเมอร์ ชิมเมอร์เหนือ และชิมเมอร์น้อย
“เอาล่ะ ทุกคนลงจากรถ! เราต้องเอาของลง จากนั้นพวกผู้ชายก็ต้องเอาเรือลงน้ำ” แฮงค์บอก
พวกเราทุกคนกระโดดลงไปสูดอากาศแคนาดาอันสดชื่น มันมีกลิ่นดินแต่ก็สะอาด เหมือนกลิ่นหินเปียกๆ กับใบไม้เขียวๆ
“หนูช่วยได้นะคะ” โจเซลินเสนอ พลางคืนโทรศัพท์ให้ผม
แฮงค์หัวเราะแล้วลูบหัวเธอ “พ่อรู้สิ ยัยหนู แต่ถ้าเคเล็บกับพ่อทำมันจะเร็วกว่า”
ไหล่ของโจเซลินลู่ลง แล้วเธอก็เดินไปช่วยจีนนี่เอาของลงจากรถบรรทุก
ผมรั้งแฮงค์ไว้ก่อนที่เราจะเข้าไปสมทบ “นี่ครับ” ผมพูดเสียงเบา “ผมว่าเธออยากช่วยจริงๆ นะครับ”
แฮงค์ยังคงทื่อมะลื่อไม่เข้าใจอะไรเหมือนเคย เขาแค่ยักไหล่ “เธอก็ช่วยอยู่แล้วนี่ไง เธอกำลังช่วยอยู่ แล้วทุกปีที่เรามาที่นี่ เธอก็เป็นคนถอยรถเอาเรือลงน้ำตลอด มันจะเร็วกว่าถ้าเราทำเอง”
ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหน ความเร็วหรือช้าของรถซับเออร์แบนมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศของคนขับสักหน่อย “แต่ผมว่าเธออยากทำนะครับ มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอว่าเราจะเอาเรือลงน้ำได้เร็วแค่ไหน”
แฮงค์แค่นเสียง “สำคัญสิ ถ้าเราตั้งแคมป์เสร็จภายในคืนนี้ ก็ยังมีเวลาดีๆ ให้ตกปลาอีกเพียบ!”
ผมตัดสินใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงต่อไป “ก็ได้ครับ งั้นก็เอาของลงกันเถอะ”
แฮงค์กับผมกลับไปที่เทรลเลอร์ลากเรือแล้วแก้เชือกเรือแคนูที่วางคว่ำอยู่บนเรือตกปลาเหล็กธรรมดาๆ อีกลำข้างใต้ เราแบกมันลงไปที่ริมน้ำ โจเซลินผูกเชือกเข้ากับห่วงเหล็กตรงหัวเรืออย่างรวดเร็วแล้วจูงมันผ่านโขดหินไปจอดไว้ด้านข้างรวมกับเรือของนักตกปลาคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกะกะทาง
ผมไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเธอไปใส่รองเท้าบูทลุยน้ำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆ เธอก็โผล่มาเหมือนเสกได้
“เจซีย์เขารู้ขั้นตอนดีอยู่แล้ว” แฮงค์หัวเราะพลางตบไหล่ผม “เดี๋ยวเธอก็เรียนรู้ได้เร็วเองแหละ”
กองเสื้อชูชีพ เต็นท์สองหลัง กระติกน้ำแข็งใบใหญ่สี่ใบ น้ำดื่มบรรจุขวด ถุงนอน กระเป๋าสัมภาระส่วนตัว ชุดกันฝน อุปกรณ์ตกปลา และข้าวของเครื่องใช้อีกสารพัดสารเพวางกองอยู่ข้างๆ ท่าขึ้นลงเรือตรงพงหญ้ารกๆ แฮงค์กับผมดึงมอเตอร์สองตัวกับถังน้ำมันเต็มถังสี่ใบออกมาจากท้ายรถซับเออร์แบน
เจซีย์สวมเสื้อชูชีพเรียบร้อยแล้ว ขณะที่แม่กำลังหัวเราะคิกคักแล้วแทบจะตกจากก้อนหินตอนพยายามสวมรองเท้าบูทลุยน้ำ
“ไม่ค่อยได้พาแม่มาที่นี่เหรอครับ” ผมตั้งข้อสังเกตขณะที่เราค่อยๆ วางมอเตอร์ตัวเล็กสำหรับเรือแคนู และมอเตอร์ตัวใหญ่สำหรับเรือยนต์ ไว้ข้างๆ กับถังน้ำมัน
แฮงค์หยิบเศษพรมที่ใช้รองถังน้ำมันโยนกลับเข้าไปในรถซับเออร์แบน “ไม่ล่ะ ปกติก็มีแค่ฉันกับเจซีย์”
“คุณไม่คิดว่าเธออาจจะชอบแบบนั้นมากกว่าเหรอครับ” ผมลองหยั่งเชิง
ตาของแฮงค์วาวโรจน์ เขาเท้าสะเอว “อยากจะพูดเรื่องนี้อีกแล้วใช่ไหม”
ใช่เลย ผมอยากจะลุยเรื่องนี้อีกรอบนั่นแหละ โจเซลินกำลังจะอายุสิบแปดแล้ว และผมรู้สึกว่าแฮงค์ไม่เคยถามเธอด้วยซ้ำว่าเธอต้องการอะไร แต่เพื่อเห็นแก่ความสงบ ผมกัดฟันแล้วส่ายหน้า “ไม่ครับ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เอาล่ะ ขึ้นไปหลังพวงมาลัยแล้วถอยเรืออีกหน่อย เราจะได้เอามันลงจากท่าได้” แฮงค์สั่ง
ผมเกือบจะตั้งใจทำให้มันเป็นการถอยรถที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ผมไม่อยากเสียเวลาเถียงกับแฮงค์อีก อย่างน้อยพอไปถึงแคมป์ ผมก็สามารถหลบไปอยู่ในเต็นท์ของตัวเองแล้วหลีกเลี่ยงเขาได้ และโจเซลินด้วย ผมหวังไว้อย่างนั้น
เทรลเลอร์ลากเรือกระเด้งข้ามก้อนหินที่วางเกะกะอยู่กลางทางลาดทรายลงไปยังท่าเรือ แต่นอกจากนั้น ผมก็ถอยเรือลงไปได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
แต่แฮงค์ไม่ได้อยู่รอรับเรือ เขาไปหัวเราะคิกคักอยู่กับแม่ ช่วยแม่สวมรองเท้าบูท
ผมจอดรถซับเออร์แบนแล้วก็เห็นโจเซลินกำลังแก้เชือกที่ผูกเรือติดกับเทรลเลอร์อยู่แล้ว
“เฮ้ นั่นมันปลอดภัยเหรอ” ผมถามพลางเดินเข้าไปหาเธอ
โจเซลินมองผมเหมือนผมมีหัวงอกมาอีกหัว “แล้วคุณคิดว่าจะเอาเรือลงน้ำได้ยังไงล่ะ”
“ใช่ แต่ มันจะไม่หล่นลงมาเหรอ” ผมเซ้าซี้
โจเซลินชี้ไปที่รอกหมุนตรงหัวเทรลเลอร์ลากเรือ “มันคงต้องพยายามอย่างหนักเลยล่ะกว่าจะหล่นได้”
“อ้อ เจซีย์ ดีเลย กำลังสอนน้องให้รู้จัก ‘เชือก’ งานอยู่สินะ” แฮงค์พูดแล้วก็หัวเราะกับมุกพ่อๆ ของตัวเอง
แม่หัวเราะคิกคัก เห็นเป็นเรื่องตลกไปด้วย
โจเซลินดูหงุดหงิด ผมเห็นแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะปั้นหน้ายิ้มกลบเกลื่อน ผมไม่โทษเธอเลย ตอนนี้แม่เลี้ยงกับพี่ชายเลี้ยงของเธอกำลังเข้ามารุกล้ำเวลาที่ปกติเธอจะได้ใช้ตามลำพังกับพ่อ
ผมต้องพยายามย้ำเรื่องนี้กับแฮงค์ให้ได้จริงๆ ก่อนที่เขาจะทำเรื่องแบบนี้อีกในปีหน้า
“งั้น เราก็แค่จับแล้วลากมันลงไปเลยใช่ไหมครับ” ผมพูดพลางเดินไปอีกฝั่งของเรือแล้วจับหูหิ้วด้านหลังอันหนึ่ง
“ใช่เลย ด้านหน้ามันเบากว่า ทำไมพวกเธอสองคนผู้หญิงไม่ไปจับตรงนั้นล่ะ กลัวว่าเทรลเลอร์จะลงไปลึกกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ติดหิน” แฮงค์เดินไปที่หัวเรือแวบหนึ่งเพื่อคลายเชือกออกจากรอก
เรือเลื่อนถอยหลังเกือบทันที ผมใช้ปลายรองเท้าผ้าใบจิกดินไว้ไม่ให้มันหล่นลงพื้น
โจเซลินจับเรืออยู่ด้านบน แต่แม่แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เอาแต่หัวเราะคิกคักกับเรื่องทั้งหมด
แฮงค์ก็ได้แต่ทำปากจู๋จุ๊บๆ ส่งให้แม่ขณะที่เขาวิ่งไปท้ายเรือแล้วจับหูหิ้วอีกข้าง เขามองเท้าผมแล้วขมวดคิ้ว “เออ ลูกชาย แกน่าจะใส่รองเท้าบูทมาซะก่อนนะ”
“หือ?” ผมอุทาน
“ตัวเปียกแน่ๆ” แฮงค์ออกแรงดึงสุดกำลัง
แล้วผมก็ลงไปอยู่ในน้ำจนได้