




5__การเริ่มต้นปีอาวุโส
แปดปีต่อมา
"เอริน?!" เสียงตะโกนดังมาจากข้างล่าง
"คะ แม่?!" เธอตะโกนตอบ
"แม่จะไปแล้วนะลูก! แม่ไม่ได้ทำอาหารเช้าไว้ให้ ลงไปกินที่บ้านใหญ่ก่อนไปโรงเรียนนะ โอเคไหม?"
"โอเคค่ะ!"
เสียงประตูปิดดังปังสะท้อนไปทั่วบ้าน และเอรินก็ถอนหายใจ
เธอยืนอยู่ในห้องนอน หน้ากระจกตู้เสื้อผ้า มองสำรวจตัวเองในชุดนักเรียน
วันแรกของปีสุดท้าย เฮ้อ
เธอควรจะมีความสุข ดีใจสุดๆ ด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยนี่ก็เป็นปีสุดท้ายของไฮสคูลแล้ว หลังจากนี้เธอก็จะเป็นอิสระเสียที!
แต่น่าเศร้า ความคิดสุขสันต์ทั้งหมดถูกทำลายลงด้วยความจริงที่ว่าเอรินจะต้องทนเรียนห้องเดียวกับเบรเดน สโตน ไอ้บ้าเลือดนั่นกับเพื่อนงี่เง่าของเขาไปอีกตลอดทั้งปี!
เธอก้มตัวเข้าหากระจก ติดกิ๊บอีกตัวเข้ากับมวยผมสูงที่มัดรวบผมสีน้ำตาลเกาลัดหนาของเธอไว้ แล้วรีบจัดผมหน้าม้า เอรินเอียงคอ ยักมุมปากข้างหนึ่งให้เห็นลักยิ้มข้างเดียวของเธอ "โอเค ใช้ได้แล้ว" เธอพึมพำกับตัวเอง พลางลูบมือไปตามด้านหน้าของเสื้อเบลเซอร์
สามชั่วโมง นั่นคือเวลาทั้งหมดที่พวกเขามีก่อนที่ออดโรงเรียนจะดังขึ้น และวันหยุดก็จะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ เอรินเม้มริมฝีปาก กะพริบตาถี่ๆ กลั้นน้ำตาด้วยความรู้สึกเศร้าใจกับเรื่องทั้งหมด
คว้ากระเป๋ามาสะพายไหล่แล้วมองกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ชุดนักเรียนปีสุดท้ายปีนี้กระโปรงค่อนข้างสั้น เอรินขมวดคิ้ว ดึงชายกระโปรงลงเล็กน้อยก่อนจะปัดฝุ่นที่ไหล่เสื้อเบลเซอร์สีเขียวแล้วมุ่งหน้าไปที่ประตู
เสียงส้นรองเท้านักเรียนสีดำของดังคลิกๆ ลงบันไดไปจนกระทั่งเธอถึงประตูหน้าและก้าวออกไปสู่พื้นที่สีเขียวกว้างใหญ่
มองทิวทัศน์งดงามสุดลูกหูลูกตาที่ทอดยาวรอบคฤหาสน์สโตนอย่างที่ทำเป็นประจำ เอรินสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าเต็มปอด
เช้านี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากวันอื่นๆ อากาศมีกลิ่นอายของโรงเรียน การบ้าน และการสอบ และทันใดนั้น เธอก็ไม่อยากจะสูดมันเข้าไปลึกๆ อีกต่อไปแล้ว
"โรงเรียนบ้าบอคอแตก" นั่นคือคำที่เอรินคงจะพูดออกมาถ้าเธอไม่ได้ผูกมัดด้วยสัญญา เธอยกมือซุกกระเป๋าเสื้อเบลเซอร์แล้วเริ่มเดินไปตามทางเดินหินที่ทอดไปยังส่วนหลักของคฤหาสน์อันโอ่อ่าของตระกูลสโตนตั้งตระหง่านอยู่
ตลอดแปดปีที่ผ่านมา เธอทำทุกอย่างตามที่ท่านประธานคาดหวัง เธอเรียนพิเศษทุกคลาสของเบรเดนที่บ้านกับเขา เธอเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรแบบ "มหาเศรษฐี" ที่พวกเขาบอกให้เธอทำ ไม่ใช่ว่าเอรินจะบ่นอะไร มันก็ดีที่ได้ขี่ม้า เรียนตีกอล์ฟ และไปพักร้อนที่โรงแรมและรีสอร์ตของสโตน
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเอรินได้ทำกิจกรรมเหล่านั้นกับแม่และสเตฟานี
สิ่งที่ไม่ดีคือปริมาณงานที่เธอต้องทำให้เสร็จทั้งจากโรงเรียนและที่เรียนพิเศษที่บ้าน เอรินฉลาด แต่ก็ฉลาดพอแค่จะรับมือกับภาระงานนั้นได้เฉียดฉิว ส่วนใหญ่แล้วเธอต้องคอยตามส่งงานให้ทันกำหนดและซดกาแฟเป็นว่าเล่น
แต่ที่แย่ที่สุดคือสิ่งที่เธอต้องเผชิญจากการต้องติดต่อกับเบรเดนเกือบทุกวัน
ตลอดแปดปีที่ผ่านมา ไม่มีคำดูถูกหรือคำขู่ใดๆ ในโลกนี้ที่เธอไม่เคยได้ยินจากเบรเดน สโตน
เขาพูดอะไรกับเธอก็ได้ตามใจชอบ และไม่เคยสนใจเลยว่ามันจะทำให้เธอเจ็บปวดหรือไม่
ขอบคุณพระเจ้าที่เอรินก็มีปากไว้ตอบโต้เหมือนกัน และเบรเดนก็โดนสวนกลับไปอย่างสาสม เธอจะไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้เด็กคนนั้นเด็ดขาด เธอไม่ยอมเด็ดขาด! เธอรู้ดีว่าเขาเกลียดเธอและอยากให้เธอไปให้พ้นๆ มากแค่ไหน แต่เบรเดนดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยว่าเอรินเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนกับเขาแทบตายเหมือนกัน เธอเกลียดเขามากพอๆ กันนั่นแหละ
เมื่อถึงด้านหลังของบ้านสโตน เอรินก็แทรกตัวเข้าไปทางประตูหลัง ทักทายคนรับใช้ระหว่างทาง
"เอริน มาแล้วเหรอ!" สเตลล่า สุภาพสตรีใจดีผู้มารับตำแหน่งแม่ครัวแทนแม่ของเธอหลังจากที่อลิเซียได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแม่บ้านเพื่อดูแลคนรับใช้จำนวนมากที่สเตฟานีตัดสินใจจ้างเพิ่ม กล่าวขึ้น
"สวัสดีค่ะ คุณลี" เอรินทักทายอย่างอ่อนหวาน โน้มตัวข้ามเคาน์เตอร์ครัวไปหอมแก้มสุภาพสตรีท่านนั้น "แม่ล่ะคะ?"
สเตลล่าบุ้ยใบ้ไปทางโถง มือของเธอกำลังยุ่งอยู่กับแป้งโด "คุณอลิเซียกำลังสั่งคนงานขนย้ายโต๊ะทำงานใหม่ของสเตฟานีอยู่จ้ะ รีบไปทานอาหารเช้าเถอะลูก โต๊ะจัดไว้แล้ว"
เอรินพยักหน้า เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ "เรามีเวลาอีกเท่าไหร่คะ?"
"อีกสามสิบนาทีก่อนคนขับรถจะมารับพวกหนูสองคน ไปเถอะ"
เอรินหยิบแอปเปิ้ลจากโถผลไม้แล้วรีบไปยังห้องอาหาร เธอจะกินเพียงเล็กน้อยแล้วจะไปหาท่านประธาน เกือบทุกเช้าตลอดแปดปีที่ผ่านมา เอรินติดนิสัยที่จะไปพบท่านประธานก่อนที่เขาจะไปทำงานและเธอก็ไปโรงเรียน เธอโตเกินกว่าจะมองว่าเขาเป็นซานตาคลอสแล้ว แต่เธอก็เริ่มมองว่าเขาเป็น...อืม...เหมือนคุณปู่คนหนึ่ง
น่าเศร้าใจที่คิดว่าเบรเดนมีปู่ที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น แต่เขากลับไม่ต้องการอะไรจากท่านเลยนอกจากมรดก
เอรินแค่นเสียงอย่างไม่พอใจขณะเดินมาถึงห้องอาหาร สายตาของเธอเงยขึ้น และเท้าก็หยุดกึกทันที
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “พูดถึงปิศาจ มันก็จะได้ยินเสียงเรียกชื่อแล้วโผล่พรวดมาจากไหนไม่รู้เหมือนไอ้ตุ๊กตาเด้งดึ๋งบ้าๆ นั่นแหละ!” คนที่พูดคือฟีบี้ เพื่อนสนิทอันดับสองของเอริน และตอนนั้นเธอกำลังเมาแอ๋อยู่ด้วย
ที่โต๊ะอาหารเช้านั่งอยู่คือเบรเดน สโตน ดวงตาสีฟ้าเย็นชาของเขากำลังจับจ้องมาที่เธอ ข้อศอกวางอยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วประสานกันเป็นรูปพีระมิด เขาดูสมกับเป็นทายาททุกกระเบียดนิ้ว
เอรินหน้าบึ้ง เธอจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับไอ้ตัวน่ารังเกียจทำหน้าเหมือนเดอะกรินช์นั่นได้ยังไงกัน?
ดวงตาของเบรเดนหรี่ลงเมื่อเห็นเธอยังไม่ขยับ “ถ้าคนขับรถของฉันมาถึงแล้วเธอยังไม่พร้อมเพราะมัวโอ้เอ้กินข้าวเช้าอยู่ล่ะก็ อย่าคิดว่าฉันจะรอนะ” เขาพูดเสียงเข้ม
เอรินเกือบจะถอนหายใจ ไม่พลาดเลยว่าเขาเน้นคำว่าคนขับรถ ของฉัน แค่ไหน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย เธอแค่จะไม่สนใจเขาก็พอ
เธอปลดกระเป๋าจากไหล่ ดึงเก้าอี้ตัวที่อยู่ไกลจากเขาที่สุดออกมาแล้วหย่อนตัวลงนั่ง เอื้อมมือไปหยิบกาแฟมารินให้ตัวเอง เอรินกัดฟัน พยายามกินอย่างเงียบที่สุดแม้ว่าสายตาของเขาจะยิ่งจับจ้องเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังใกล้เข้ามายังห้องอาหาร “เบรเดน พ่อให้บัตรใบไหนแกไปนะ” พ่อของเบรเดนถามขณะเดินเข้ามา ไมเคิล สโตน ชะงักเมื่อเห็นเอริน เธอตัวแข็งทื่อโดยมีแพนเค้กคำหนึ่งคาอยู่ในปาก เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเบิกกว้างน่าสงสารอย่างเคย ไมเคิลเกือบจะแค่นเสียงออกมา “อ้อ เอริน”
เอรินลดส้อมลงแล้วกลับไปมองจานตัวเอง ความอยากอาหารหายวับไปทันที ต้องมาเจอทั้งสองคนในเช้าวันเดียวเนี่ยนะ? วันนี้ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว “สะ… สวัสดีค่ะ คุณสโตน”
ไมเคิลเลิกคิ้ว “อืม สวัสดี กำลังกินข้าวเช้าอยู่เหรอ”
นิ้วของเอรินกำส้อมแน่นขึ้น คำถามของเขาแปลได้ว่า “นี่เธอยังหน้าด้านพอจะมานั่งร่วมโต๊ะกับลูกชายฉันแล้วยัดทะนานเข้าไปในหน้าหมูๆ ของเธออีกเหรอ” แปดปีแล้วสินะ เอรินเชี่ยวชาญภาษาคำเหน็บแนมแบบผู้ดี๊ผู้ดีแล้วล่ะ
“เอาล่ะ งั้นก็” ไมเคิลพูดพลางวางมือบนไหล่ของเบรเดน ทั้งคู่จ้องมองมาที่เอริน “เธอก็กินไปเถอะ แน่นอนสิ เธอต้องใช้แรงไปโค่นเบรเดนไม่ใช่หรือไง”
เอรินได้ยินเบรเดนแค่นเสียงแล้วขบกรามแน่น เธอไม่จำเป็นต้องมาฟังเรื่องพวกนี้เลย เธอวางส้อมลง คว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน
“หนูน้อย”
เอรินหยุดกึก หันไปมองทางเข้าด้านหลัง
จูเลียส สโตน ยืนอยู่ที่ประตู มือไพล่อยู่ด้านหลังขณะมองมาที่เธอ
เอรินกอดกระเป๋าแน่นขึ้น “เอ่อ… สวัสดีค่ะ ท่านประธาน” เธอพึมพำ
จูเลียสขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ เดินเข้ามา “ฉันเคยบอกเธอว่ายังไงเรื่องการทำตัวขี้ขลาดต่อหน้าสองคนนี้” เขาถามเธอ
เอรินได้ยินไมเคิล สโตน แค่นเสียง “สวัสดีครับพ่อ”
จูเลียสเหลือบมองลูกชายด้วยความไม่พอใจอย่างขมขื่น จากนั้นจึงลดสายตาลงมองหลานชาย “เบรเดน ทันทีที่เอรินเห็นฉัน เธอทำอะไร”
แววตาของเบรเดนแข็งกร้าวขึ้นขณะพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่จ้องมองอย่างเอาเรื่อง “เธอทักทายครับ” เขาพึมพำ
จูเลียสเลิกคิ้ว “แล้วแกได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนั้นบ้าง”
กรามของเบรเดนขบกันแน่นยิ่งขึ้น “สวัสดีครับ ท่านปู่”
“ถูกต้อง” ท่านประธานกล่าว เขามองทั้งเอรินและเบรเดน “เอาล่ะ เด็กๆ นี่เป็นปีสุดท้ายในโรงเรียนมัธยมของพวกเธอแล้วนะ ฉันคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดจากพวกเธอทั้งคู่ เข้าใจไหม โดยเฉพาะเธอ เอริน เธอคือตัวอย่างที่ดี”
เอรินรู้สึกว่าไหล่ของเธอลู่ลงด้วยน้ำหนักของความรับผิดชอบที่เขามอบให้ แต่เธอบังคับให้ตัวเองเงยหน้าขึ้น แม่ของเธอกำลังมีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เอรินจะไม่มีวันทำให้เรื่องนั้นเสียหายเด็ดขาด “ค่ะ ท่านประธาน”
“โธ่เว้ย ให้ตายสิ” ไมเคิลพึมพำ “มันหลายปีแล้วนะครับพ่อ เลิกเรื่องบ้าๆ นี่ซะทีเถอะ”
ท่านประธานตวัดสายตาคมกริบมองลูกชาย “พูดอีกครั้งสิ ไมเคิล ขอแค่อีกครั้งเดียว แล้วเบรเดนจะถูกตัดออกจากพินัยกรรมของฉันทันที”
ไมเคิลกะพริบตา ปากของเขาปิดสนิททันควันเมื่อรู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้ล้อเล่น
“เอาล่ะ” ท่านประธานกล่าวพลางยื่นบัตรใบหนึ่งให้เอริน “สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเธอนอกบ้าน ในเมื่อเธอเป็นรุ่นพี่ปีสุดท้ายแล้วนี่นะ”
ดวงตาของเอรินเบิกกว้างขณะจ้องมองบัตรในมือ “บะ… บะ-แบล็ก… แบล็กการ์ดเหรอคะ”
เอรินตาโตมองไปยังเบรเดนที่กำลังจ้องบัตรในมือของเธอด้วยความไม่อยากเชื่อและความโกรธ เธอรีบกลืนน้ำลาย ท่านประธานไม่รู้ตัวเลยสักนิด แต่เขาเพิ่งทำให้ชีวิตของเธอลำบากขึ้นอีกเยอะเลย