Read with BonusRead with Bonus

บทที่ 8 - สวัสดีมนุษย์น้อย

เอ็มม่า

บันไดกลางทำจากหินอ่อนสีขาวและโดดเด่นตัดกับส่วนอื่นๆ ของพระราชวัง

“พระราชวังนี้งดงามโอ่อ่ามากจริงๆ เพราะเคยมีแม่น้ำไหลผ่านตรงที่ตั้งของวังในตอนนี้ มันไหลจากบนภูเขาลงไปยังแซงกวินเนม” คามิลล่ากล่าว

ที่ด้านบนสุดของบันไดมีประตูทองคำบานยักษ์สองบาน มันต้องสูงกว่าสิบห้าฟุตแน่ๆ

“ที่นั่นคืออะไรคะ” ฉันถาม

“นั่นคือประตูสู่ท้องพระโรง เป็นงานศิลปะชิ้นเอกอันงดงาม สร้างถวายโดยพระราชาแม็กนัสเมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์”

คามิลล่าโน้มตัวมาข้างหน้าและป้องมือรอบปาก “ตอนนี้พระราชาทรงอยู่ในนั้น กำลังทรงประชุมเรื่องสำคัญกับเหล่าขุนพลเอกบางส่วน ในจำนวนนั้นก็มีเจ้าชายเฮเดรียนกับเจ้าหญิงโมราน่าด้วย” ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นกับเรื่องซุบซิบชิ้นนี้

ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพระราชาหรือเจ้าชายที่อยู่ในห้องนั้น แต่ฉันสนใจความจริงที่ว่าเจ้าหญิงโมราน่าอยู่ที่นั่นต่างหาก เจ้าหญิงสามารถเอาสร้อยคอของฉันคืนมาให้ได้

ฉันพยายามจดจำเส้นทางที่เราเดินผ่านมา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาที่สาม เลี้ยวซ้ายที่สอง คามิลล่าไม่ยอมห่างจากข้างกายฉันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ฉันอยากจะวิ่งกลับไปที่ท้องพระโรงและรอเจ้าหญิง เพื่อจะได้อ้อนวอนขอสร้อยคอคืน ใช่ ฉันยอมที่จะอ้อนวอน

คามิลล่านำฉันเข้าไปในห้องที่มีโซฟากำมะหยี่สีเขียวสามที่นั่ง โต๊ะทำงานหนึ่งตัว และโต๊ะยาวสีขาวอีกหนึ่งตัว “กรุณารอที่นี่สักครู่นะคะ เดี๋ยวผู้รักษาจะมาพบค่ะ”

คามิลล่าผายมือไปยังโซฟาสีเขียวและรอจนกระทั่งฉันนั่งลง “เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งห้องครัวว่าคุณจะพร้อมสำหรับอาหารค่ำในอีกหนึ่งชั่วโมง” เธอมอบรอยยิ้มน่าขนลุกให้ฉันแล้วเดินออกจากห้องไป ฉันอยู่ตามลำพังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอมาเคาะประตูเมื่อเช้านี้

ฉันอยู่คนเดียวจริงๆ ฉันใคร่ครวญโอกาสนี้และรออยู่สองสามวินาที

ฉันลุกขึ้นจากโซฟาและเคลื่อนตัวไปยังประตู มีบางอย่างในใจฉันคาดว่าประตูคงจะปิดอยู่ แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประตูเปิดออกและเสียงนั้นดูเหมือนจะดังก้องไปทั่วห้อง ไม่มีใครอยู่ที่โถงทางเดินเลย แม้แต่ทหารยามสักคนก็ไม่มี

ฉันเดาว่าคงไม่มีใครสนใจมนุษย์คนหนึ่งกระมัง

ฉันพยายามย้อนรอยทางเดินกลับไปและหลีกเลี่ยงทหารยามที่เดินลาดตระเวนอยู่ ฉันเดินลึกเข้าไปอีกจนถึงบันไดอีกแห่ง ที่ซึ่งฉันเห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังเดินขึ้นไปพร้อมกับผ้าปูที่นอน

ฉันขึ้นไปที่ชั้นสาม

โถงทางเดินเงียบสงัดวังเวง ไม่มีแสงไฟเปิดอยู่เลยและผ้าม่านก็ปิดสนิท มีลมเย็นยะเยือกพัดมาทำให้ฉันขนลุกในชุดกระโปรงแขนสั้น พระราชวังนี้หนาวเย็นและมันค่อยๆ ทำให้ฉันหนาวเหน็บเข้ากระดูก

แสงสว่างเพียงอย่างเดียวมาจากห้องที่อยู่สุดทางเดิน มันส่องสว่างเพียงพอที่จะสร้างเส้นทางจากทางเข้าไปยังจุดที่ฉันยืนอยู่ ฉันถูกดึงดูดเข้าหาแสงสีเหลืองอบอุ่นนั้น ราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

ฉันเดินผ่านช่องประตูโค้งที่เปิดอยู่ของห้องอันสว่างไสว ความอบอุ่นในห้องทำให้ผิวฉันรู้สึกซ่าขึ้นมาทันที กลิ่นหนังสือเก่าและดอกทานตะวันที่แห้งแล้วอบอวลไปทั่วบริเวณ

ผนังสูงสองด้านทอดยาวจากพื้นจรดเพดานเต็มไปด้วยหนังสือ กลางห้องมีโซฟาสีครีมยาวสองตัวและโต๊ะกาแฟหินอ่อนสีขาว เพดานทำจากกระจกสีและมีรูปทรงเป็นโดม

ฉันเดินเข้าไปในห้องและลูบนิ้วไปตามหนังสือ พวกมันเต็มไปด้วยฝุ่น ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีคนมาที่นี่เท่าไรนัก มีหนังสือหลากหลายประเภท แต่ชั้นหนึ่งมีสมุดบันทึกปกหนังสีดำอยู่สองสามเล่ม มีชื่อสลักนูนอยู่บนแผ่นหนัง

โอริอาน

ฉันเดินลึกเข้าไปอีกจนถึงผนังด้านหลัง มันทำจากกระจกทั้งบานและมองเห็นผืนป่าเบื้องล่าง ฉันเอื้อมมือไปจนสัมผัสกับหน้าต่าง มันให้ความรู้สึกเรียบลื่นและเย็นเยียบใต้ปลายนิ้ว

ยอดไม้เริ่มเปลี่ยนสี จากเขียวเป็นเหลืองและแดงในช่วงปลายฤดูร้อน ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำและท้องฟ้าก็สะท้อนสีสันของผืนป่า ทะเลต้นไม้อันไร้ที่สิ้นสุดในหลากหลายเฉดสีสร้างเส้นขอบฟ้าที่งดงามจนทำให้ฉันตกอยู่ในมนตร์สะกด ห้องนี้ช่างสงบและปลอดโปร่ง และชั่วขณะหนึ่งฉันก็รู้สึกสงบใจ

เงาหนึ่งทาบทับลงมาเหนือร่างฉัน ห่อหุ้มฉันไว้ในความมืดมิดของมัน และฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกต่อไปแล้ว ความอบอุ่นที่ฉันรู้สึกเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้หายไปในชั่วพริบตา ฉันไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย แม้แต่เสียงลมหายใจ

ฉันตัวแข็งทื่อ และวงแขนกำยำของบุรุษร่างใหญ่ก็โอบรอบเอวฉัน วงแขนนั้นราวกับปลอกเหล็กที่รัดรอบตัวฉัน มั่นคงและไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เขาดึงฉันเข้าหาตัวจนกระทั่งฉันปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งของเขา ลำตัวของเขาแข็งกระด้างอยู่ตรงสะบักของฉัน

ความร้อนที่แผ่ซ่านจากตัวเขาแทรกซึมเข้าสู่กระดูกของฉัน เปลือกตาฉันกระพริบไหวอยู่ครู่หนึ่งและเอนเข้าหาความร้อนนั้น ความอบอุ่นของเขาช่างเย้ายวนและขับไล่ความหนาวเย็นที่ค่อยๆ ทำให้ร่างกายฉันชาด้าน

ฉันสูดหายใจลึกเมื่อตระหนักว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฉันยืดตัวตรงและพยายามผละออกจากอกเขา เขากลับโอบแขนอีกข้างรอบกระดูกสะโพกและท้องน้อยของฉัน ดึงฉันเข้าไปแนบชิดกับเขา แขนทั้งสองข้างของฉันถูกกักไว้แนบลำตัว

เขาอยู่ใกล้มากจนฉันได้กลิ่นหอมเข้มแนวไม้อันอบอวลออกมาจากตัวเขา ซีดาร์ แซนดัลวูด และเบอร์กาม็อต กลิ่นนั้นอบอุ่นและน่าดึงดูด มันเย้ายวนและชักจูงให้ฉันเข้าไปใกล้ขึ้น และฉันอยากจะซุกจมูกลงบนผิวของเขา

บ้าจริง นี่มันอะไรกัน?

ผ่านหน้าต่าง ฉันเห็นเงาสะท้อนจางๆ ของชายร่างยักษ์ ไหล่ของเขากว้างผายและเขาสูงตระหง่านเหนือฉัน มันคือโครงร่างของเจ้าชายเฮเดรียน และฉันกัดฟันกรอด

เขาโน้มศีรษะลงมาข้างฉันและไล้จมูกจากลำคอไปยังหัวไหล่ ฉันเกลียดความจริงที่ว่ามันทิ้งความรู้สึกเสียวซ่านไว้บนผิว ฉันเกลียดที่ความอบอุ่นอันถาโถมของเขามอบความรู้สึกปลอดภัยให้ และฉันชิงชังที่สุดกับความรู้สึกร้อนวูบวาบในท้องน้อยยามที่เขาลูบนิ้วหัวแม่มือไปบนกระดูกสะโพกของฉัน

“ว่าไง มนุษย์ตัวน้อย” เจ้าชายเฮเดรียนเอ่ย เสียงของเขาทุ้มต่ำและห้าว และฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อริมฝีปากของเขาเฉียดผ่านใบหูยามที่เขาพูด เสียงแหบพร่าทุ้มลึกนั้นเดินทางลงไปถึงท้องน้อย และฉันไม่รู้ว่าทำไม

ฉันกลืนน้ำลาย และเขาก็ยอมให้ฉันค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับเขา ฉันต้องแหงนคอขึ้นเพื่อมองใบหน้าของเจ้าชายรัชทายาทและสบเข้ากับดวงตาสีดำของเขา มันดำสนิทราตรีและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฉันกลืนน้ำลายและสูดสิ่งที่ฉันคิดว่าคงเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย

ดวงตาของเขาเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเหลืองอำพันอ่อนๆ หมุนวนจนกระทั่งร่องรอยสุดท้ายของความมืดมิดหายไป เขาอยู่ใกล้มากจนฉันเห็นลวดลายในดวงตาและตอหนวดที่เริ่มขึ้นบนคางและกรามของเขา ฉันพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนเขา แต่แขนของเขาราวกับกรงเหล็กที่ล้อมรอบตัวฉัน

“จะไปไหนหรือ? ยอดรัก

ฉันดิ้นแรงขึ้น “ได้โปรด ปล่อยฉันไป”

แขนของเขาคลายออกเล็กน้อย และเขาพลิกตัวฉันอย่างง่ายดาย ฉันเสียหลัก แต่เจ้าชายก็รับตัวฉันไว้และวางฉันลงบนโซฟาตัวหนึ่ง ฉันหอบหายใจเมื่อเขาทาบทับลงมาบนตัวฉัน อากาศออกจากปอดเมื่อน้ำหนักตัวที่ทับลงมากดทับหน้าอก เขาเหนือกว่าฉันอย่างสิ้นเชิงและบดบังทัศนียภาพของฉัน สิ่งเดียวที่ฉันเห็นคือเขาและวิธีที่เขาลอยตัวอยู่เหนือฉัน กลิ่นกายบุรุษอันอบอุ่นนั้นโอบล้อมฉันไว้หมดสิ้น

“ท่านจะทำอะไร?” ฉันเปล่งเสียงแหลมออกมา

เขายันตัวขึ้นด้วยแขนข้างหนึ่งข้างศีรษะฉัน จัดสะโพกแทรกมาระหว่างขาฉัน และลดใบหน้าลงมาห่างจากฉันเพียงนิ้วเดียว ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดใบหน้า “เธอไม่เต็มใจหรือ มนุษย์ตัวน้อย?”

เขายิ้มเยาะและเริ่มปลดกระดุมเสื้อแจ็คเก็ต

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันแสร้งทำเป็นหรอกหรือ? สิ่งที่จัสตินบอกว่าฉันควรทำ? ทำให้เขาลดการป้องกันตัวลง

แผงอกกำยำราวสลักของเขาปรากฏแก่สายตา และฉันไม่อาจละสายตาไปได้ คือฉันเคยเห็นหน้าอกผู้ชายมาก่อนและไม่เคยคิดอะไรกับมันมากนัก พวกมันไม่เคยตรึงสายตาฉันไว้กับสรีระของพวกเขา

กล้ามเนื้อของเขาใหญ่โตและคมชัด เขาตัวใหญ่เป็นสองเท่าของผู้ชายธรรมดาทั่วไป มัดกล้ามเนื้อทุกส่วนก่อร่างอย่างแม่นยำ และฉันบอกได้เลยว่าเขาดูแลร่างกายอย่างหนัก

“เราทำไม่ได้” ฉันบอกเขา พลางดันมือไปที่ไหล่ ผิวของเขาร้อนจัด ฉันดันสุดแรง แต่เขาก็ไม่ขยับเขยื้อน ความพยายามของฉันมีแต่จะทำให้เขากดแนบชิดฉันมากขึ้น

“ข้าจะไม่บอกใคร” เขากระซิบ และริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้เหลือเกิน ฉันรู้สึกได้ว่ามันเฉียดผ่านรอยหยักเหนือริมฝีปากบนของฉัน ฉันหันหน้าหนีจากเขาด้วยสีหน้าเหยเก สิ่งเดียวที่ฉันเห็นตอนนี้คือเส้นเลือดและกล้ามเนื้อแขนท่อนล่างของเขา

เขารวบข้อมือทั้งสองข้างของฉันไว้ในมือเดียวและดึงยืดขึ้นเหนือศีรษะ ริมฝีปากของเขาเฉียดใบหู “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการหรอกหรือ? หืม? ที่จะมีอะไรกับอสูร?” เขาคำรามเสียงต่ำ

ฉันสูดหายใจลึกเมื่อความแข็งขึงของเขากดลงมาที่หว่างขา

“นี่คือเหตุผลที่เธอทำสินะ?” มือของเขาเลื่อนไปที่ต้นขา และนิ้วของเขาจิกลึกลงในเนื้อหนังของฉัน “เธออยากจะไปบอกเพื่อนมนุษย์ของเธอใช่ไหมว่าคนหมาป่าที่โหดร้ายจัดการเธออย่างดิบเถื่อนแค่ไหน?” เขากดลงมาหนักขึ้นเมื่อขาฉันแยกกว้างขึ้น

“ได้โปรด อย่า—”

Previous ChapterNext Chapter