




บทที่สอง
ฉันกุมมือสเตฟานี่ไว้แน่นขณะที่เราเดินเข้าไปในคลับ ความกลัวยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกย่างก้าว ในบรรดาสถานที่ทั้งหมดที่สเตฟเคยพาเราไป ที่นี่นับว่าน่าประทับใจและแพงที่สุดเท่าที่เคยเจอมา คลับมืดสนิท เราคงมองไม่เห็นอะไรเลยถ้าไม่ใช่เพราะแสงไฟสีฟ้าสว่างจ้าที่ขอบทั้งสองด้านของคลับ ชื่อ ไวโอเลนตา โค้งอย่างสวยงามแต่อันตราย ตัว วี ตัวหลังมีรูปเปลวไฟสีแดงอยู่ตรงกลาง มีบอดี้การ์ดยืนขนาบข้างอยู่ข้างละสองคนที่ทางเข้าแต่ละด้าน
มีแสงไฟสลัวๆ ส่องลงมาจากเพดาน ขับเน้นผู้คนบนฟลอร์เต้นรำ
ฉันพยายามมองสภาพแวดล้อมรอบตัวให้ชัดเจน แต่สเตฟานี่ลากฉันไปที่บาร์ พื้นผิวของบาร์ทำจากหินอ่อนสีดำ
ทุกอย่างในที่นี้บ่งบอกถึงความรวยและแพง สเตฟานี่กับฉันนั่งลงบนเก้าอี้บาร์แล้วสั่งเครื่องดื่ม
“นี่ เธอรู้ใช่ไหมว่าต้องใช้บัตรผ่านถึงจะเข้าคลับได้น่ะ” สเตฟานี่ถามด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“เธอกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่” ฉันเลิกคิ้ว รู้ดีว่าฉันคงไม่ชอบคำพูดต่อไปของเธอแน่ๆ
“ฉันอาจจะ…หรือไม่ก็…ได้มันมาจากเจสัน”
“ว่าไงนะ…” ฉันอุทานออกมา
เผื่อคุณสงสัยว่าเจสันคือใคร เขาคือหนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ซึ่งต่อมากลายเป็นแฟน เราสนิทกันมาก ฉันคิดว่าเรารักกัน แต่ฉันคิดผิด ฉันรู้ความจริงด้วยวิธีที่เจ็บปวดที่สุดตอนที่จับได้ว่าเขานอนอยู่บนเตียงกับลูกพี่ลูกน้องของฉันในระหว่างงานศพพ่อแม่ของฉัน ฉันโกรธจัด และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราคุยกัน ฉันไม่รู้ว่าสเตฟยังติดต่อกับเขาอยู่ และฉันรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง
“ทำไมเธอทำแบบนั้น” ฉันถาม หงุดหงิดที่เธอไม่ยอมบอกฉันจนกระทั่งตอนนี้
“ฉันรู้ว่าเธอโกรธ แต่เธอคงไม่มากับฉันแน่ถ้าเธอรู้ว่าฉันได้บัตรผ่านมาจากไหน” เธอพูดถูก สิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการคือการไปข้องแวะกับเจสัน คุณอาจจะพูดได้ว่าฉันยังทำใจเรื่องที่เขาหักหลังไม่ได้
“ก็เออสิ ไม่มาแน่!” ฉันตอบอย่างโมโห
“ตอนเราเจอเขา ดูเหมือนเขายังตัดใจจากเธอไม่ได้เลยนะ แล้วเชื่อฉันเถอะ ฉันพร้อมจะอัดเขาน่วมแล้ว” เธอพูด เน้นทีละคำ “แต่ฉันก็อายนิดหน่อยที่จะบอกว่าฉันใจอ่อนตอนที่เขาควักบัตรผ่านพวกนั้นออกมา”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สเตฟ…”
“ฉันรู้ๆ ฉันอยากมาคลับนี้มากๆ จริงๆ ขอโทษนะ” เธอบอกพร้อมกับทำตาอ้อนวอนใส่ฉัน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอใช้ไม้นี้กับฉัน ฉันต้องสร้างภูมิคุ้มกันเรื่องนี้ให้ได้ก่อนที่มันจะทำให้ฉันเดือดร้อน
“เฮ้อ…ก็ได้ เธอยังรอดตัวไปคราวนี้” ฉันตอบ ทำให้เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแบบโอเวอร์ๆ
“มาเถอะ ไปเต้นกัน” เธอบอก พลางยื่นมือมาจับมือฉันขณะที่เราทั้งคู่ลุกจากที่นั่ง
“ฉันเต้นไม่ได้หรอก ใส่ส้นสูงแบบนี้น่ะ” ฉันบ่นขณะที่เธอพาฉันไปที่ฟลอร์เต้นรำ
“ไม่ต้องห่วง พอเธอเหนื่อย เราค่อยพักกัน” เธอรับรอง
เราทั้งคู่เคลื่อนตัวไปยังฟลอร์เต้นรำ แหวกฝ่าผู้คนมากมายที่ร่างกายชุ่มเหงื่อเพื่อหาจุดที่เหมาะเจาะ แล้วเริ่มโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงช็อตส์ แอนด์ ไวน์ของฌอน พอลและสเตฟฟ์ลอน ดอนที่ดีเจเปิด
ฉันยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ รู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวอย่างอันตรายในท่าทางยั่วยวนขณะที่เสียงเพลงเข้าครอบงำ
คุณอาจจะพูดได้ว่าฉันเป็นนักเต้นที่ค่อนข้างเก่งคนหนึ่ง
ฉันกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะเพลง เกือบจะ...
มีบางครั้งที่คุณรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามอง และเมื่อคุณมองไปรอบๆ อย่างลนลาน คุณก็พบว่าคุณแค่คิดไปเอง แล้วคุณก็ตัดสินใจปัดมันทิ้งไป คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องในหัวของคุณ
นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกในตอนนี้ ฉันพยายามปัดมันทิ้งไป แต่ความรู้สึกว่าถูกจับตามองอย่างต่อเนื่องก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องเขม็งมาที่ฉัน จับจ้องทุกการเคลื่อนไหว
ฉันรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งสันหลังและรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที
ฉันมองไปรอบๆ คลับจนกระทั่งสายตาจับจ้องไปที่เขา และดวงตาของฉันก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีนิลของเขา
เขายืนอยู่บนระเบียงโซนวีไอพี มีแก้วเครื่องดื่มในมือ และมีผู้หญิงผมสีแดงเข้มแต่งหน้าจัดเกาะแขนเขาไว้แน่นราวกับว่าชีวิตเธอขึ้นอยู่กับมัน เธอสวมชุดรัดรูปที่แทบไม่เหลือพื้นที่ให้จินตนาการ เขาวางข้อศอกบนราวระเบียง โน้มตัวไปข้างหน้า จ้องมองฉันด้วยดวงตาอันทรงพลังคู่นั้น
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงขายาวสีดำ เสื้อเชิ้ตสีดำแนบสนิทกับร่างกาย เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่มีรอยสักเคลื่อนไหว ใบหน้าของเขาตรงขณะมองมาที่ฉันโดยไม่กะพริบตา ขากรรไกรของเขาเกร็ง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ผมสีดำของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย
ฉันจมอยู่กับการมองเขาจนลืมไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ จนกระทั่งรู้สึกถึงการแตะเบาๆ ที่ไหล่ ดึงฉันออกจากภวังค์
“เธอโอเคหรือเปล่า ดูเหมือนเธอหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยนะ” สเตฟถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“โทษที ฉันแค่เหนื่อย ปวดขาน่ะ” ฉันบอก ไม่อยากให้เธอต้องกังวล
“เราพักกันหน่อยไหม” เธอถาม ฉันพยักหน้าตอบ แล้วเราทั้งคู่ก็มุ่งหน้ากลับไปที่บาร์เพื่อดื่มอีกแก้ว
สายตาของฉันเหลือบกลับขึ้นไปมองเขาอีกครั้ง เพียงเพื่อพบว่าเขายังคงจ้องมองฉันอยู่ ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย และฉันสงสัยว่าเขาได้กะพริบตาบ้างหรือเปล่า ฉันอดไม่ได้ที่จะสำรวจเขา เขาตัวสูงใหญ่ และด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูน่ากลัว และฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์และหล่อเหลาอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
ฉันหยุดมองเขาไม่ได้ และเขาก็รู้ สายตาของเขาไม่ละไปจากใบหน้าฉันเลยแม้แต่น้อย
“นี่ สเตฟ ฉันว่าเรากลับกันเลยดีกว่า” ฉันพูดขึ้นมาทันที
“แต่ทำไมล่ะ… เรากำลังสนุกกันอยู่เลยนะ” เธอทำเสียงอ้อน
“ฉันมีการบ้านต้องทำ แล้วก็รู้สึกเหนื่อยแล้วด้วย”
“ก็ได้ ไปก็ไป” เธอบอก ยอมตามใจในที่สุด
เราเดินอย่างรวดเร็วไปยังทางออก ฉันเกือบจะถึงประตูแล้ว และไม่รู้อะไรดลใจ แต่ฉันพบว่าตัวเองหันกลับไปมองทางเขา และตาของฉันก็เบิกกว้างเมื่อพบว่าเขายังอยู่ในท่าเดิม จ้องมองฉันไม่ขยับ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ และเขาชูแก้วเครื่องดื่มขึ้นเหมือนทักทายก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปาก นัยน์ตาสีเข้มของเขาแฝงคำสัญญาที่ฉันไม่อยากจะรับรู้แน่ๆ และฉันก็เดินออกจากประตูไป สเตฟกับฉันเรียกแท็กซี่กลับไปยังบ้านอันแสนสบายของเรา