Read with BonusRead with Bonus

บทที่ 2

ไอ้ถึกหนึ่งพยักหน้าเกรียนดำมืดของมัน “แดนดริดจ์จะไปกับเรา” มันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกอย่างที่คาดว่าจะได้ยินจากคนตัวใหญ่อย่างมัน

แฮร์รี่ค่อยๆ ลดไม้เบสบอลลงแล้วก้าวมาทางฉันสองก้าว ฉันยังคงจ่อกระป๋องสเปรย์พริกไทยไปที่เขาเพราะเขายังถือไม้อยู่ เหงื่อที่ไหลท่วมหน้าแฮร์รี่บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง และมีโอกาสสูงที่เขาอาจจะฉี่ราดกางเกงได้ทุกวินาที ไอ้จู๋ของเขายังห้อยต่องแต่งอยู่ข้างนอก และนี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากเห็นเลย

แฮร์รี่กล้าดียังไงมากระซิบกับฉันเหมือนเราเป็นพวกเดียวกัน “พาฉันออกไปจากที่นี่ แล้วเธอจะได้หนึ่งหมื่น” เขาก้าวมาทางฉันอีกก้าว ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงคิดว่าฉันจะช่วยเราสองคนได้ด้วยสเปรย์พริกไทยกระป๋องเดียว

ฉันเหลือบมองไปทางไอ้พวกถึกขับแคดดี้ ไอ้ถึกหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ ปากกระบอกปืนของมันหันไปทางแฮร์รี่เต็มที่ “มูนต้องการตัวแดนดริดจ์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เขาก็ต้องเป็นของเรา”

เออ ชิบหายละ ฉันอดสงสารแฮร์รี่ไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรลงไป เขาคงไปเหยียบตาปลาผิดคนเข้าให้แล้ว ฉันรู้ว่ามูนคือใคร ถ้าคุณเป็นพ่อค้ายา โสเภณี นักพนันเถื่อน หรือตำรวจ คุณย่อมรู้จักมูน แฮร์รี่กำลังซวยฉิบหาย และฉันรู้สึกว่าคุณนายแดนดริดจ์คงไม่ต้องกังวลเรื่องสัญญาก่อนสมรสที่เซ็นไปแล้วล่ะ

“สองหมื่น” แฮร์รี่พูดอย่างสิ้นหวัง ตาของเขากลอกไปมารอบโรงรถ คงกำลังมองหาทางหนีที่ไม่ทำให้ก้นตัวเองกระจุย

“วางไม้ลง” ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่ลังเล ไม้เบสบอลหลุดจากนิ้วมือกระทบพื้นซีเมนต์เสียงดังแคล้ง แฮร์รี่ขยับเข้ามาใกล้ ตอนนี้กระป๋องสเปรย์ของฉันหันไปทางพวกนั้นแทน ไอ้ถึกหนึ่งส่ายหัวเล็กน้อยเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าฉันจะโง่ได้ขนาดนี้ เอาจริงๆ นะ ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน

ฉันพยักคางตอบกลับไป พร้อมเสริมความใจกล้าบ้าบิ่นล้วนๆ เข้าไป เพราะนั่นคือทั้งหมดที่ฉันมี “ฉันไม่มีความตั้งใจจะยอมให้คุณแดนดริดจ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของฐานรากตึกซีเมนต์ พวกแกต้องขึ้นรถแล้วไสหัวไปซะ”

ฉันสาบานได้เลยว่าเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของไอ้ถึกหนึ่ง มันยกมือซ้ายขึ้น หันฝ่ามือมาทางฉันในท่าทีประนีประนอม “มูนต้องการเจอหน้าแดนดริดจ์เพื่อคุยเรื่องส่วนตัว” ริมฝีปากมันเม้มเข้าหากัน และตอนนี้ฉันแน่ใจแล้วว่ามันกำลังกลั้นยิ้ม “ไม่ใช่” มันยืนยันกับฉัน “เพื่อเอาไปเป็นส่วนผสมของฐานรากตึกซีเมนต์”

ฉันเกือบจะเชื่อมันแล้ว “แล้วทำไมต้องมีปืนด้วยล่ะ”

มันก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว มือข้างหนึ่งยังยกหันมาทางฉัน ส่วนมืออีกข้างยังคงเล็งปืนไปที่แฮร์รี่ “คงไม่มีใครยกพวกมาสู้กับคนที่มีแค่ไม้เบสบอลหรอก”

เออ นั่นแหละ เพราะไอ้ถึกหนึ่งพูดมีเหตุผล แถมยังมีกำลังคนเพียบ คุณคงไม่เอาสเปรย์พริกไทยไปสู้กับปืนเหมือนกัน และฉันก็เพิ่งโดนตอกหน้าสั่งสอนเข้าให้แล้ว สิ่งที่โง่ที่สุดที่ฉันทำนับตั้งแต่ได้ใบอนุญาตนักสืบเอกชนมาก็คือการชักสเปรย์พริกไทยใส่แดนดริดจ์นี่แหละ ฉันกะพริบตาถี่ๆ เพื่อจะได้มองเห็นผ่านหยาดเหงื่อที่เพิ่งไหลเข้าตาขวา “ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะขอตามไปด้วย” ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตามไปจริงๆ หรอก แค่พยายามประเมินสถานการณ์ให้ดีขึ้นเท่านั้น

ก่อนที่ไอ้ถึกหนึ่งจะตอบ แฮร์รี่ตะโกน “อีโง่เอ๊ย” แล้วพุ่งเข้าชนฉัน ฉันล้มลง หัวฟาดเข้ากับขอบปูนกันชนรถยนต์

โลกรอบตัวดับมืด

ความปวดตุบๆ ปลุกฉันให้ตื่น และสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากทำคือลืมตา บางทีอาจมีใครจุดระเบิดในสมองฉัน ฉันได้ยินเสียงพัดลมเพดานหมุนเบาๆ ขณะที่ลมเย็นๆ พัดโชยมาต้องตัว ที่จริงแล้วหัวฉันเต้นตุบๆ ตามจังหวะการหมุนเลยด้วยซ้ำ ขณะที่กำลังคิดว่าจะลืมตาดีไหม ฉันก็ใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ เพื่อหาเบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉันไม่ได้อยู่บนเตียงตัวเอง เตียงของฉันที่นอนเป็นหลุมเป็นบ่อ เตียงที่ฉันนอนอยู่นี่แน่นและสบาย พัดลมเพดานในห้องนอนฉันหมุนเสียงดังหึ่งๆ สม่ำเสมอ แต่ตัวนี้สมดุลดีเยี่ยม มีเพียงเสียงลมที่มันสร้างขึ้นเท่านั้นที่ดัง

ราวกับฝันร้ายที่หวนนึกขึ้นได้ ฉันพลันจำไอ้จ้อนมีขนดกของแดนดริดจ์ ไม้เบสบอลสีเงิน และผู้ชายหลายคนพร้อมปืนได้ ตาฉันเบิกโพลง โชคดีที่ห้องมีเพียงแสงสลัว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังต้องหรี่ตามองไปรอบๆ ฉันร้องออกมาเบาๆ เมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในมุมห้องอันมืดสลัว เขากำลังมองฉันอยู่ หัวฉันประท้วงเสียงร้องนั่น ฉันจึงขบกรามแน่น พลิกตัวตะแคงข้าง แล้วยกท่อนแขนขึ้นปิดหน้า เสียงครางเบาๆ เพราะความเจ็บปวดเล็ดลอดออกจากลำคอ ชายคนนั้นไม่ส่งเสียงใดๆ ผ่านไปนาทีหรือสองนาทีกว่าฉันจะลืมตาขึ้นอีกครั้งได้

เขายังอยู่ที่เดิม

แขนเขาวางทอดไปตามที่วางแขนของเก้าอี้ นิ้วมือโค้งงุ้มหุ้มส่วนปลายไว้ บอกได้เลยว่าเขาสูง เพราะฉันมองไม่เห็นพนักเก้าอี้ด้านหลังช่วงไหล่กับศีรษะของเขาเลย ขาเขายาว สวมกางเกงสูทคล้ายกับพวกที่อันธพาลเหล่านั้นใส่ สงสัยมีโรงงานผลิตนักเลงโดยเฉพาะล่ะมั้ง

"คุณคินล็อก" เสียงทุ้มนุ่มลึกของเขาดังก้องไปทั่วห้อง

"ใคร..." ฉันเปล่งเสียงแหบพร่าแล้วลองใหม่ "คุณเป็นใคร แล้วฉันอยู่ที่ไหน" ความเจ็บปวดแล่นแปลบขึ้นมาที่ท้ายทอย ฉันนิ่วหน้า

"ลุกขึ้น" เสียงเขาทำให้ฉันสะดุ้งเพราะมันดังอยู่ข้างหูฉันเลย ฉันไม่ได้ยินเสียงเขาเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย มือเขาสอดใต้หมอนหนุนศีรษะแล้วช่วยพยุงฉันให้นั่งขึ้นเล็กน้อย ขอบแก้วเย็นๆ แตะริมฝีปากฉัน "ผมมียาแก้ปวด แต่ดื่มน้ำก่อน"

ตัวเขามีกลิ่นหอม... กลิ่นหอมแบบผู้ชายที่ผสมโคโลญจน์กลิ่นมัสก์ชวนหลงใหล ช่างเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดีที่มาคิดอะไรแบบนี้ ทั้งที่ความทรงจำสุดท้ายของฉันคือไอ้จ้อนของแดนดริดจ์กับพวกอันธพาลถือปืน ฉันจิบน้ำ แล้วยาเม็ดสองเม็ดก็ถูกสอดเข้ามาในปาก สัมผัสของเขาทำให้เกิดความรู้สึกวาบหวามแปลกประหลาด มันทำให้ฉันเสียศูนย์ยิ่งกว่าโดนตีหัวเสียอีก และฉันก็กลืนมันลงไปเหมือนคนโง่ ฉันไม่รู้เลยว่าเพิ่งกลืนยาอะไรเข้าไป สมองฉันประมวลผลช้ามาก และฉันตัดสินใจว่าต่อให้กลืนยาผิดกฎหมายเข้าไป ฉันก็จะยอมรับผลที่ตามมา ตราบใดที่มันช่วยให้หายปวดหัวบ้าๆ นี่ได้

ฉันสูดหายใจเข้าช้าๆ และลืมตาขึ้นทันเห็นชายคนนั้นทิ้งสะโพกลงบนฟูกแล้วนั่งลงข้างๆ ผ้าห่มที่คลุมตัวฉันอยู่แค่ใต้ราวนม และการเคลื่อนไหวของเขาก็ดึงมันให้ร่นต่ำลงไปอีกนิด เขาไม่ได้เหลือบมองหน้าอกฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกทึ่ง

"คุณคือ?" ฉันถามเสียงเบาเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนสมองมากนัก

เขามีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเข้มข้น ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปริศนาที่เขากำลังพยายามปะติดปะต่อ เขาปัดปอยผมออกจากแก้มฉัน ดวงตาเขามองตามการเคลื่อนไหวของมือตัวเอง และฉันคิดว่าเขาดูประหลาดใจกับการกระทำของตัวเองจริงๆ "เรียกผมว่ามูน"

บ้าจริง ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็รู้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ไม่อยากเชื่อว่าฉันจำเขาไม่ได้ คงเป็นเพราะเงาสลัวในห้องกับเซลล์สมองที่เสียหาย หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นเรื่องที่ฉันพยายามบอกตัวเอง ฉันเคยเห็นรูปเขานับครั้งไม่ถ้วน เขามักจะควงผู้หญิงบางคนไปงานระดมทุนหรูหรา แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงหันหน้าหนีกล้องได้ตลอด ถ้าไม่ใช่ตอนออกงานสาธารณะ รูปพวกนั้นก็ถ่ายด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ พยายามจับภาพเขากำลังทำเรื่องผิดกฎหมาย

เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นในห้องเมื่อเขาพูด "ผมจะเปิดไฟเพื่อดูม่านตาของคุณ" เขาพูดด้วยสำเนียงกระชับชัดเจน ไม่มีสำเนียงหนักๆ แต่มีบางอย่างในน้ำเสียงที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันแท้ๆ ฉันคว้ามือเขาไว้ตอนที่เขาเอื้อมไปเปิดโคมไฟข้างเตียง มันรู้สึกราวกับสายฟ้าแล่นกระทบผืนน้ำ กระแสไฟซ่าบซ่านแล่นผ่านผิวเนื้อฉัน พอฉันเหลือบมองขึ้นไป ก็เห็นว่าเขากำลังจ้องมองมือของเราเช่นกัน แม้ไม่มีแสงไฟ ผิวขาวของฉันก็ตัดกับสีผิวคล้ำของเขาอย่างชัดเจน ฉันสงสัยว่าเขารู้สึกถึงแรงสะท้านแบบเดียวกับฉันหรือเปล่า ความคิดนั้นช่างไร้สาระ ฉันคงคิดไปเองแน่ๆ ฉันคลายนิ้วแล้วดึงมือกลับ เขามองขึ้นมาและสายตาเราประสานกัน สีหน้าเขาอ่านไม่ออกเลย เขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ราวกับอากาศหนักอึ้งกดทับหน้าอกจนหายใจลำบาก

ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจและอันตราย ทุกส่วนในร่างกายฉันรับรู้ได้

Previous ChapterNext Chapter