




บทที่ 1
พ่อเพื่อนซี้สุดเซ็กซี่ชาวฝรั่งเศส
นาตาลี
ฉันตื่นเต้นจนแทบหายใจไม่ออก ฉันตรวจกระเป๋าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นพันครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ลืมอะไร และตอนนี้ก็แค่รอเพื่อนสนิทกับพ่อของเธอที่เซ็กซี่เหลือเชื่อมารับ ฉันตกหลุมรักพ่อของเพื่อนสนิทมาตั้งแต่จำความได้
แอนเน็ตต์กับพ่อของเธอย้ายมาจากปารีสตอนฉันอยู่ ป.สี่ เราเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่นั้นมา ฉันช่วยเธอเรียนภาษาอังกฤษ และใช้เวลาแทบทุกสุดสัปดาห์อยู่ที่บ้านของพวกเขา ช่วงหน้าร้อน พวกเขามักจะไปอยู่ปารีสหนึ่งเดือนเสมอ และตั้งแต่เรายังเด็ก พ่อของเธอก็สัญญาว่าจะพาฉันไปด้วยทันทีที่ฉันอายุครบ 18 ปี เดาสิว่าใครเพิ่งจะอายุ 18 ไปเมื่อเดือนที่แล้ว
ฉันใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นเหมือนแม่ชีก็ไม่ปาน เพราะความคิดที่จะให้คนอื่นมาแตะเนื้อต้องตัวทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง พวกผู้ชายที่โรงเรียนมัธยมไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกพิเศษอะไรเลย จะให้ฉันรู้สึกได้ยังไง ในเมื่อฉันมีพ่อของแอนเน็ตต์ให้เปรียบเทียบน่ะ ใครๆ ก็เทียบไม่ติดทั้งนั้น แต่ฉันเบื่อที่จะรอเต็มทนแล้ว ฉันมีเวลา 30 วันที่จะทำให้เขาเข้าใจว่าฉันคือผู้หญิงคนเดียวสำหรับเขา
พอได้ยินเสียงกริ่งประตู ฉันสูดหายใจลึกแล้วคว้ากระเป๋า ฉันประหม่าจนก้าวขาแทบไม่ออก ฉันลงบันไดมาได้ครึ่งทางตอนที่เห็นเขาแวบแรก ลุค เบนัวต์ ยืนอยู่ที่ประตูซึ่งเปิดอ้า คุยอยู่กับพ่อแม่ของฉัน และหัวใจฉันก็ละลายทันทีที่เห็นเขา ฉันไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร แต่ได้ยินสำเนียงฝรั่งเศสชัดเจน และมันก็ปลุกเร้าความรู้สึกฉันไปทั้งร่าง เขาสูงสง่า มีแผงอกกว้างกำยำที่ผู้ชายคนไหนก็ต้องอิจฉา และทำเอาผู้หญิงใจสั่น ผมสีเข้มของเขายาวพอที่จะทำให้ฉันต้องต่อสู้กับความอยากเอานิ้วสางผมเขาทุกครั้งที่เห็น มันดูนุ่มสลวยน่าสัมผัสชะมัด วันนี้เขาโกนหนวดเกลี้ยงเกลา ทำให้ฉันเห็นกรามคมสันของเขาได้เต็มตา และวินาทีที่ดวงตาสีน้ำตาลของเขาสบตาฉัน ฉันก็ลืมหายใจ ฉันได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนคนโง่อยู่บนบันได
เขาส่งยิ้มเจ้าเสน่ห์มาให้จนฉันเข่าแทบทรุด และฉันมั่นใจว่ารอยยิ้มที่ฉันส่งให้เขาคงดูโอเวอร์ไปมาก แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขาทำให้ฉันโคตรมีความสุขเลยจริงๆ วินาทีถัดมา แอนเน็ตต์ก็พุ่งเข้ามาในบ้านแล้วกอดฉันแน่น กรี๊ดออกมาด้วยความดีใจ
"มันต้องสุดยอดมากแน่ๆ!" เธอบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง เหมือนเด็กสองภาษาทั่วไป เธอพูดได้ทั้งสองภาษาอย่างสมบูรณ์แบบ สำเนียงของเธอจะออกก็ต่อเมื่อเหนื่อยจัดๆ หรือโกรธจัดๆ เท่านั้น
เธอคว้ากระเป๋าบางส่วนของฉันไปถือขณะที่ฉันยิ้มตอบ พอเราไปถึงประตูหน้า พ่อกับแม่ก็ดึงฉันเข้าไปกอดแน่นและย้ำคำเตือนเดิมๆ ที่พร่ำบอกฉันมาหลายวัน ระวังตัวด้วย อย่าออกไปไหนคนเดียว อย่าดื่มเหล้า เก็บพาสปอร์ตไว้กับตัว และอื่นๆ อีกสารพัด
"ผมสัญญาว่าเธอจะปลอดภัยครับ" ลุคพูด "คุณมีเบอร์มือถือผมแล้ว โทรหาผมได้ตลอดเวลา ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรกับเธอเด็ดขาด"
ฉันยิ้มกับคำพูดของเขา เกือบจะเชื่อไปแล้วว่ามีความรู้สึกเป็นเจ้าของแฝงอยู่เบื้องหลัง แต่ฉันรู้ว่าตัวเองคงแค่คิดไปเอง ฉันกอดลาพ่อแม่อีกครั้ง แล้วเริ่มเดินผ่านลุคไป แต่สัมผัสจากมือของเขาที่วางบนไหล่ก็หยุดฉันไว้ ขนทั่วกายฉันลุกชัน แก้มร้อนผ่าวเมื่อตระหนักว่าเขาคงเห็นมัน เขาเลื่อนกระเป๋าใบหนักลงจากไหล่ฉันแล้วยกไปวางบนไหล่ตัวเอง
เมื่อเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลงดงามคู่นั้น ฉันก็เค้นเสียงกระซิบเบาๆ ได้แค่ “ขอบคุณค่ะ” ก่อนจะเดินไปยังรถที่จอดรออยู่ด้วยขาที่สั่นเทา
การจะบอกว่าลุครวยนั้นยังน้อยไป บริษัทของเขาประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลทั้งในสหรัฐฯ และฝรั่งเศส และเขามักจะเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศนี้หลายครั้งต่อปี เนื่องจากการเดินทางบ่อยครั้ง เขาจึงชอบใช้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมากกว่า ฉันไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงเครื่องบินส่วนตัวสุดหรู ฉันไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หวังแค่ว่าจะไม่ทำเรื่องน่าอายขายหน้าสุดๆ ออกไป ฉันอยากให้เขามองว่าฉันเป็นผู้หญิงที่เจนโลก แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาเอามากๆ
คนขับรถนำกระเป๋าของเราไปเก็บไว้ที่ท้ายรถขณะที่เราสามคนขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ฉันนั่งข้างแอนเน็ตต์ ส่วนพ่อของเธอนั่งฝั่งตรงข้าม วันนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดสูทหรูหราเหมือนเคย แต่สวมกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีดำ ซึ่งเขาก็ยังทำให้มันดูเซ็กซี่ได้ไม่ต่างกัน ฉันชอบเขาตรงนี้แหละ ตรงที่เขาสามารถดูสบายๆ เป็นธรรมชาติได้ไม่ต่างกันไม่ว่าจะอยู่ในชุดสูทอาร์มานี่หรือกางเกงยีนส์ เขาอาจจะรวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะพอใจกับการนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานขัดมันแล้วปล่อยให้ตัวเองถูกปรนเปรอ
ฉันพยายามไม่จ้องมองว่าเสื้อเชิ้ตของเขารัดรูปเน้นให้เห็นกล้ามแขนและแผงอกอย่างไร หรือท่อนแขนสีแทนของเขาดูแข็งแรงกว่าของผู้ชายคนไหนๆ ที่ฉันเคยเห็น ฉันรู้ว่าฉันทำไม่สำเร็จเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นเขามองฉันอยู่พร้อมรอยยิ้มขบขันบนใบหน้า ให้ตายสิ เราออกเดินทางกันยังไม่ถึงสิบนาทีเลย ฉันก็ถูกจับได้ว่าแอบมองเขาตาเป็นมันเสียแล้ว
เสียงตื่นเต้นของแอนเน็ตต์ดึงความสนใจของเราไปที่เธอ และเราก็ใช้เวลาที่เหลือบนรถไปจนถึงสนามบินพูดคุยกันเรื่องแผนสำหรับเดือนหน้า มีสถานที่มากมายที่ฉันอยากไปเห็นและอาหารมากมายที่ฉันอยากลิ้มลอง ฉันไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ แม้แต่วินาทีเดียวกับการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับลุค นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องจดจ่อจริงๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรในเมื่อฉันหยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย
เมื่อเราไปถึงสนามบิน ตอนนั้นมืดแล้ว แต่สนามบินก็สว่างพอให้ฉันมองเห็นได้ ฉันอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างมองเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวที่จอดรอเราอยู่ แอนเน็ตต์หัวเราะกับท่าทางของฉันแล้วลงจากรถ วิ่งขึ้นเครื่องไปแล้ว ลุครออยู่แล้วยื่นมือมาให้ฉัน ช่วยพยุงฉันลงจากรถ มือใหญ่ของเขากอบกุมมือฉันไว้ และความรู้สึกวาบหวามก็แล่นซ่านไปทั่วร่าง มือของเขาสวยมาก เป็นมือแบบที่ทำให้ฉันจินตนาการได้ทันทีว่ามันกำลังลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างเปลือยเปล่าของฉัน
“คุณตื่นเต้นไหม” เขาถามฉัน
มีบางอย่างในคำถามของเขาที่ทำให้ฉันประหลาดใจ บางอย่างในท่าทีที่เขามองฉันทำให้ฉันคิดว่าเขาหมายถึงอะไรที่มากกว่าแค่การเดินทางไปฝรั่งเศส ยอดอกของฉันแข็งเป็นไต และกางเกงในของฉันก็เปียกชื้น ดังนั้นฉันจึงตอบตามความจริง
“มากค่ะ”
เขาพินิจมองฉันอีกวินาทีก่อนจะส่งยิ้มเซ็กซี่มาให้
“ดี” ในที่สุดเขาก็พูด พลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ไปตามฝ่ามือของฉัน
เขาไม่ปล่อยมืออย่างที่ฉันคาดไว้ แต่ยังคงจ้องตาฉันไม่วางตา เฝ้าดูปฏิกิริยาของฉันต่อสัมผัสของเขา สายตาของเขาเลื่อนต่ำลง สังเกตเห็นยอดอกของฉันที่เห็นได้ชัดเจนผ่านเนื้อเสื้อ ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจับจ้องริมฝีปากของฉันที่เผยอออกเล็กน้อย แล้วจึงกลับมาสบตาฉันในที่สุด
ฉันได้แต่จินตนาการว่าสายตาของฉันกำลังบอกอะไรเขา ฉันจินตนาการว่าเขากำลังมองเห็นทุกความคิดอกุศลที่วิ่งพล่านอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้ เพราะเขาค่อยๆ ส่งรอยยิ้มร้ายกาจมาให้ซึ่งทำให้ฉันเผลอครางออกมาเบาๆ คิ้วของเขาเลิกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงปล่อยให้นิ้วของเขาลากไล้ไปตามข้อมือด้านในและฝ่ามือของฉันก่อนจะปล่อยมือลง
ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับไป เขาพูดว่า “ผมตั้งตารอที่จะใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้กับคุณนะ นาตาลี” ทิ้งให้ฉันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกวาบหวามรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ และประหลาดใจไม่แพ้กัน
คนขับรถต้องกระแอมเบาๆ เพื่อเรียกสติฉัน และฉันก็อายมากจนทำได้แค่กล่าวขอบคุณสั้นๆ แล้วรีบวิ่งขึ้นเครื่องบินไป ความประหม่าของฉันก็ยังไม่ลดลงเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้คือ บ้าที่สุด!