Read with BonusRead with Bonus

ลูกหลานของดวงจันทร์ - บทที่ 2 - สีเขียว ตอนที่ 2

เซเลน่า

ขณะที่ชั้นเรียนดำเนินต่อไป การมีอยู่ของเด็กใหม่สองคนทำให้ฉันอึดอัด ฉันกระสับกระส่ายอยู่บนเก้าอี้เมื่อความใกล้ชิดของพวกเขารู้สึกเหมือนมันแคบลงทุกวินาที ในที่สุด ออดคาบเช้าแรกก็ดังขึ้น นักเรียนเริ่มลุกขึ้นและเดินออกจากประตู โคลกับสมิธมายืนอยู่หน้าโต๊ะฉัน ขวางทางออกเอาไว้ คนอื่นๆ ออกจากห้องไปหมดแล้ว ทันใดนั้นฉันก็รู้ว่านี่ต้องหมายถึงปัญหาแน่ๆ และฉันก็ทรุดตัวลงต่ำบนเก้าอี้ เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีที่กำลังจะมาถึง

“เธอว่าฉันกับเพื่อนขอนั่งกับเธอตอนกลางวันได้ไหม” โคลถามพลางชะโงกมองลงมาที่ฉัน เอียงคอเล็กน้อย

ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อประเมินสีหน้าของเขา เขาดูไม่ประสงค์ร้าย ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น แต่ฉันก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี ฉันไม่ไว้ใจพวกเขา ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น

“อืม โอเค งั้นไว้เจอกันทีหลังนะ” โคลพูดอย่างร่าเริงขณะหันหลังแล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูโดยมีสมิธตามติดไป

“นี่ เธอชื่ออะไรเหรอ” สมิธตะโกนถามกลับมาจากหน้าห้อง ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ ทั้งเขากับโคลยืนอยู่ที่ประตู มองมาที่ฉัน รอคอย

เขาจะอยากรู้ชื่อฉันไปทำไม ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันสักหน่อย ทำไมผู้ชายแบบนั้นถึงอยากเป็นเพื่อนกับอสูรอย่างฉันด้วยเล่า ฉันสับสนและไม่แน่ใจ นี่เป็นแค่กลอุบายอีกอย่างหรือเปล่า เป็นเกมจิตวิทยาเพื่อล้วงข้อมูลอะไรบางอย่างไหม ฉันหยุดนิ่ง ครุ่นคิดถึงความคิดสารพัดที่วนเวียนอยู่ในหัว แต่ฉันก็คิดว่า อย่างน้อยพวกเขาก็ดีกับฉันมาจนถึงตอนนี้ ดีกว่าใครๆ ที่เคยเจอมา จะเสียหายอะไรถ้าจะบอกชื่อให้พวกเขารู้ ฉันลุกจากเก้าอี้ไปยืนข้างโต๊ะ ยังคงก้มหน้าและกอดอกกอดหนังสือไว้แน่น

“เซเลน่า” ฉันกระซิบเสียงแหบพร่า

เด็กชายสองคนมองหน้ากัน ตาโต พวกเขามองกลับมาที่ฉันแล้วยิ้ม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เซเลน่า” โคลพูดพลางพยักหน้าแล้วเดินออกจากประตูไป

สมิธยังคงยิ้มขณะยกมือขึ้นขยับนิ้วหยุกหยิกให้ฉันอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังเดินตามโคลออกจากประตูไป

เมื่ออยู่คนเดียว ฉันก็ถอนหายใจพรืดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่ากลั้นหายใจไว้อยู่ ฉันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง วางมือบนโต๊ะเพื่อทรงตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หัวฉันปวดตุบๆ และลมหายใจก็สั่นเครือ ฉันวางมืออีกข้างบนหน้าอก หัวใจเต้นรัวแรง ฉันรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้ คงแค่หิวน่ะ ฉันคิด เช้านี้ฉันไม่ได้กินอะไรเลย ฉันรีบไปยังห้องเรียนถัดไป แทรกตัวผ่านเด็กคนอื่นๆ ในโถงทางเดิน ฉันไปถึงประตูแล้วตรงเข้าไปนั่งที่ทันที คนอื่นๆ นั่งกันเรียบร้อยแล้ว ฉันวางแขนบนโต๊ะ ฟุบหน้าลงกับมือ แล้วเริ่มฝันกลางวันถึงชายหนุ่มรูปงามที่เจอตรงโถงทางเดิน

เสียงออดพักกลางวันดังขึ้น ดึงฉันออกจากภวังค์ เมื่อเด็กคนอื่นๆ ออกไปหมดแล้วและโถงทางเดินดูเงียบลง ฉันก็มุ่งหน้าออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหาร ฉันเดินผ่านประตูเข้าไปหยิบถาด ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคูปองอาหาร นักเรียนที่เหลือในโรงเรียนนั่งประจำโต๊ะกันหมดแล้ว กำลังคุยกันและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงสุดสัปดาห์ ฉันรับอาหารแล้วค่อยๆ เดินไปยังที่นั่งประจำข้างถังขยะ ฉันกัดแอปเปิล ก้มหน้าเอาไว้ ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงดังและเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนไม่กี่กลุ่ม

เดมี่กับพรรคพวกของเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะถัดจากพวกนักฟุตบอล เดมี่คือยัยตัวร้ายตามแบบฉบับ เธอสวยและแต่งตัวเก่ง ผมบลอนด์ยาวสลวยเป็นลอนสยายกลางหลัง และผิวเนียนใสไร้ที่ติ เธอเป็นผู้หญิงแบบที่ผู้ชายทุกคนต้องการ และผู้หญิงทุกคนอยากจะเป็น เธอมักจะเดินเฉิดฉายไปตามโถงทางเดินด้วยกระโปรงสั้นและรองเท้าส้นสูง ขณะที่คนอื่นๆ ต้องหลีกทางให้ ไม่มีทางที่คุณจะเห็นฉันใส่เสื้อผ้าสั้นและรัดรูปขนาดนั้นอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากเห็นหรอก

ฝันกลางวันเล็กๆ ของฉันพังทลายลงเมื่อน้ำส้มหกรดตัวฉันทั้งแก้ว ไหลลงมาเปียกท้องและตัก ฉันมองไปที่ถาด เห็นว่ามีคนโยนพิซซ่าที่กินไปแล้วครึ่งชิ้นใส่ฉัน เมื่อเงยหน้าขึ้น ฉันเห็นเดมี่สะบัดผมข้ามไหล่ หัวเราะร่าและตบมือแปะกับลูกสมุนของเธอ ไบรอัน หนึ่งในพวกนักกีฬา ยืนอยู่บนโต๊ะ ชี้หน้าฉันแล้วหัวเราะ

“เกิดอะไรขึ้น สโนว์ไวท์ มีใครทำอะไรเปิ่นๆ เหรอ” เขาหัวเราะพลางกระโดดลงจากโต๊ะไปเกาะหลังเพื่อนคนหนึ่ง หน้าแดงก่ำเพราะขำหนัก

ฉันรู้สึกถึงสายตาทั้งโรงเรียนจับจ้องมาที่ฉันขณะนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ โดยมีน้ำส้มหยดลงบนขา ฉันก้มมองเสื้อผ้าและจานอาหารเละๆ ของตัวเอง ฉันหันหน้าไปมองทางออก และเห็นว่าที่โต๊ะใกล้ประตูคือพวกเด็กใหม่ โคลกับสมิธ นั่งอยู่กับเทพบุตรกรีกปริศนาคนนั้นจากโถงทางเดิน ไม่มีใครหัวเราะเลย โคลกำลังจ้องเดมี่เขม็งด้วยแววตาเกลียดชัง สมิธมองสลับระหว่างโต๊ะของเดมี่กับถาดอาหารของตัวเอง ใช้ส้อมจิ้มจานอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มปริศนากำลังมองมาที่ฉัน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเศร้าสร้อยอย่างลึกซึ้ง สายตาของเขามองตามฉันไปขณะที่ฉันลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปยังทางออก

“ลาก่อน อีสารเลว” ฉันได้ยินเสียงเดมี่ตะโกนไล่หลังขณะผลักประตูออกไป ฉันไปที่ล็อกเกอร์เพื่อเอาเสื้อผ้าสำรอง ตอนนี้ฉันรู้จากประสบการณ์แล้วว่าควรเก็บเสื้อผ้าสำรองไว้ที่โรงเรียน สำหรับเวลาที่เดมี่รู้สึกอยากจะโหดร้ายเป็นพิเศษ ฉันกำลังดึงเสื้อสเวตเตอร์ออกจากกระเป๋าเมื่อได้ยินเสียงหนึ่ง

“เธอโอเคไหม” เป็นเสียงทุ้มนุ่มลึกราวกับกำมะหยี่เสียงเดิมที่ฉันฝันถึงมาทั้งวัน มันทั้งทุ้มลึกและทรงอำนาจ ทิ้งความอบอุ่นให้แผ่ซ่านไปทั่วอกของฉัน

ฉันแอบมองลอดประตูตู้ล็อกเกอร์ โอ้พระเจ้า เขาคนนั้น ฉันสูดหายใจลึก และกลิ่นนั้นก็ปะทะเข้ามา กลิ่นเหมือนไอร้อนกรุ่นๆ ของวันฤดูร้อน... หอมชื่นใจ มีก้อนมาจุกที่ลำคอจนฉันคิดว่าตัวเองอาจเป็นลม ฉันรีบก้มหน้าลง ไม่อยากให้เขาเห็นใบหน้าที่แย่ๆ ของฉัน ฉันพยักหน้าเบาๆ

เขายกมือขึ้นวางทับมือฉันที่จับประตูตู้ล็อกเกอร์อยู่ ด้วยความตกใจกลัว ฉันรีบชักมือออก เลื่อนหลุดจากใต้มือเขา ทำให้ฝ่ามือครูดกับขอบประตูจนเป็นแผล ฉันสูดปากเบาๆ แล้วย่นจมูกกับความเจ็บแปลบเล็กๆ

“ขอโทษ ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกใจ” เขาพูดตะกุกตะกักพร้อมกับถอยหลังไปก้าวเล็กๆ

ฉันคว้ามือตัวเองยกขึ้นมาดูความเสียหาย

“เวรแล้ว มือเธอ” เขาพูดพร้อมก้าวเข้ามาจับมือทั้งสองข้างของฉันไว้ ทำให้ฉันต้องปล่อยเสื้อสเวตเตอร์ที่ถืออยู่หล่นลงพื้น

ฉันมองเขาด้วยความหวาดหวั่น คิดไปว่าเขาจะทำอะไร เขาต้องคิดว่าฉันเป็นยัยทึ่มที่ทำตัวเองเจ็บแน่ๆ มันคงทำให้เขาโมโหด้วยเหมือนกัน ตาฉันเบิกกว้างรอคอยการลงโทษ ฉันตัวแข็งทื่อ ร่างกายเกร็ง รอรับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เขาเหลือบมองใบหน้าฉันและคงเห็นความหวาดกลัวในแววตา เขาค่อยๆ ปล่อยมือฉันอย่างนุ่มนวลและเชื่องช้า การกระทำนั้นทำให้ฉันประหลาดใจ

“ขอโทษ” เขาพูดพร้อมยกมือขึ้นช้าๆ เป็นเชิงยอมแพ้

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอ”

ทำร้ายฉัน? เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายฉัน ฉันทำตัวเองเจ็บต่างหาก มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ทำไมเขาต้องขอโทษด้วย ฉันมองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ขณะกุมมือข้างที่เจ็บไว้แนบอก

“จะให้ผมช่วยไหม” เขาถามเบาๆ ยังคงยื่นมือค้างไว้

ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันมันอสุรกายชัดๆ เมื่อเทียบกับคนรูปงามเช่นนี้ ทำไมเขาต้องใส่ใจ ทำไมเขาถึงอยากช่วยฉันด้วย ฉันพยักหน้าช้าๆ อีกครั้ง เขายื่นมือมาทางฉัน ทำท่าให้ฉันจับมือเขา ฉันถอยห่าง หันตัวหนีจากเขา เขาลดมือลง มองฉันด้วยความเศร้าและความสับสน ความสับสนของฉันเองก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในสมอง ทำไมเด็กผู้ชายคนนี้ต้องมาสนใจใยดีด้วยนะ

“ไม่เป็นไร” เขาพูดเบาๆ ก้มลงหยิบเสื้อสเวตเตอร์สำรองของฉันขึ้นมา

“ตามผมมา” เขาหันหลังแล้วเริ่มเดินช้าๆ ไปตามโถงทางเดิน เขาหยุดชั่วครู่แล้วหันกลับมามองฉันเพื่อดูว่าฉันตามไปหรือไม่ เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มกว้างเห็นฟันที่ครอบคลุมใบหน้าครึ่งล่าง โอ้พระเจ้า รอยยิ้มนั้น ทุกอย่างในตัวฉันพลันละลาย ความกลัวและความตื่นตระหนกจางหายไป ฉันรู้สึกอบอุ่นและฟูฟ่องอยู่ข้างใน รู้สึกปลอดภัย ฉันพยักหน้าอีกครั้งแล้วปิดตู้ล็อกเกอร์ ฉันเดินตามหลังเขาไปต้อยๆ ขณะที่เขานำฉันไปยังตู้ล็อกเกอร์ของเขาในโถงถัดไป เขามองฉันอีกครั้งแล้วยิ้ม ฉันก้มหน้าลงปล่อยให้ผมปรกหน้า

เขาเปิดตู้ล็อกเกอร์แล้วดึงผ้าพันคอสีฟ้าอมเทาผืนหนึ่งออกมา ชูให้ฉันดู

“ขออนุญาตนะ” เขาถามพลางชี้ไปที่มือฉันซึ่งยังคงกุมไว้ที่อก ฉันก้มมองมือตัวเองแล้วมองผ้าพันคอ ฉันเหลือบมองใบหน้าเขา เขายังคงยิ้มอยู่ ดังนั้น ฉันจึงพยักหน้าแล้วยื่นมือออกไป เขาค่อยๆ วางเสื้อสเวตเตอร์พาดไหล่ฉัน และฉันก็ฝืนความรู้สึกที่อยากจะสะดุ้งถอยกับการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆ พันผ้าพันคอของเขารอบแผลที่มือฉันอย่างระมัดระวัง

หากเพียงแต่เขารู้ว่าแผลเล็กๆ นี่มันขี้ปะติ๋วแค่ไหน หากเพียงแต่เขารู้เรื่องการทุบตีเฆี่ยนตีที่ฉันได้รับที่บ้าน แผลเล็กแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรเลย ฉันมีรอยแผลเป็นและรอยกรีดทั่วทั้งแผ่นหลังและหน้าท้องจากการถูกทุบตีที่เลวร้ายกว่ารอยขีดข่วนเล็กๆ นี่มากนัก หากเพียงแต่เขารู้ แต่ฉันไม่เคยมีใครเสนอตัวช่วยมาก่อนเลย ไม่เคยมีใครแม้แต่จะทำดีกับฉันเพียงเล็กน้อยมาก่อน ทำไมฉันถึงรู้สึกสบายใจนักเมื่อมือเขาอยู่บนมือฉัน ฉันไม่เคยชอบการถูกเนื้อต้องตัวเลย ถึงแม้ว่าฉันไม่เคยมีใครสัมผัสฉันอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน ไม่เคยแบบนี้เลย

เขาผูกปลายผ้าพันคอเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้มันหลุด ฉันปล่อยมือวางพักอยู่ในฝ่ามือของเขา มันดูเล็กจ้อยเหลือเกินเมื่อวางอยู่ตรงนั้น ฉันเองก็ดูตัวเล็กนิดเดียวเมื่อยืนอยู่ข้างๆ เขา ฉันตัวเล็กมาตลอด แต่นั่นอาจเป็นเพราะขาดสารอาหารก็ได้ ฉันชอบคิดว่าฉันคงเหมือนแม่บ้าง แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าท่านหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันเลยไม่รู้แน่ชัด

ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาที่มองมาขณะที่ฉันจ้องมองมือของเราที่อยู่ด้วยกัน เขาใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้หลังมือฉันเบาๆ มันให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมเหลือเกิน ร่างกายฉันผ่อนคลายและความอบอุ่นแบบเดิมที่ฉันรู้สึกก่อนหน้านี้ก็แผ่ซ่านไปทั่วแขนขา ฉันยังคงไม่เข้าใจมันทั้งหมดอยู่ดี ทำไมคนอย่างเขาถึงมาใส่ใจคนอย่างฉันได้

เสียงกริ่งที่ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำให้ฉันสะดุ้ง ฉันชักมือออกจากมือเขาแล้วกอดอกไว้แน่น โถงทางเดินเสียงดังขึ้นเมื่อผู้คนเริ่มเดินไปยังชั้นเรียนต่อไป

“กันเนอร์ เราต้องไปแล้ว” ฉันได้ยินโคลพูดขึ้นข้างหลังชายร่างใหญ่รูปงามคนนั้น ฉันเหลือบมองผ่านร่างใหญ่โตของเขาไป เห็นทั้งโคลและสมิธยืนอยู่ตรงนั้น ฉันไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขามาก่อนเลย พวกเขาอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาเลยเหรอ พวกเขาเห็นอุบัติเหตุงี่เง่าซุ่มซ่ามของฉันหรือเปล่า โอ๊ย น่าอายชะมัด

เด็กหนุ่มรูปงามย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ใบหน้าเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น แล้วกระซิบเสียงดังพอให้ฉันได้ยินท่ามกลางเสียงจอแจในโถงทางเดิน

“ผมชื่อกันเนอร์” เขาบอก ฉันเอนตัวถอยหลังเล็กน้อย กลัวที่เขาเข้ามาใกล้กะทันหัน เขายืดตัวตรงอีกครั้งแล้วเอียงคอเล็กน้อย

“หลังเลิกเรียนเจอผมได้ไหม”

ไม่นะ นี่ต้องเป็นแค่ความฝันแน่ๆ บางทีการถูกทุบตีเมื่อคืนอาจจะแย่กว่าที่ฉันคิด บางทีฉันอาจจะหมดสติอยู่บนพื้นห้องใต้ดิน และทั้งหมดนี่เกิดขึ้นแค่ในหัวของฉัน ไม่มีทางที่คนคนนี้จะอยากใช้เวลากับฉัน ไม่มีทาง ไม่ใช่กับฉัน ไม่มีทางเด็ดขาด ฉันส่ายหัวเล็กน้อย ไม่กล้ามองหน้าเขา

“ฮึ่ม” เขาครางออกมาเบาๆ ไม่ขยับไปไหน

“แล้วเจอกัน” เขาพูดอย่างมั่นใจ แล้วก็หันหลังเดินจากไป

ฉันเอนหลังพิงตู้ล็อกเกอร์ พยายามหายใจ เมื่อเขาหายลับไปจากสายตา ฉันก็รู้สึกได้ถึงความมืดมิดอันอ้างว้างเดิมๆ ค่อยๆ คืบคลานกลับเข้ามาในอก ฉันรีบเปลี่ยนเสื้อสเวตเตอร์ ก้มหน้าลง แล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปยังชั้นเรียนต่อไป

Previous ChapterNext Chapter