




บทที่ 4
บทที่ 4
“แนวคิดเรื่องเนื้อคู่มันก็สวยงามโรแมนติกดีนะเวลาพูดถึงในหนังหรือเพลง แต่ในชีวิตจริง ฉันว่ามันน่ากลัว”
วาเนสซา พาราดิส
คืนนั้นฉันแทบไม่ได้นอนเลย
พอเผลอหลับไปในที่สุด ฉันก็ฝันถึงผู้ชายคนหนึ่ง
ฉันมองไม่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงเขา แต่ฉันเห็นมือของเขา – มันเป็นมือใหญ่ นิ้วเรียวยาวว่องไวเหมือนนักเปียโน มีเส้นเลือดปูดโปนให้เห็นตั้งแต่ข้อนิ้วไล่ลงไปถึงแขน
ฉันพอมองเห็นแขนท่อนล่างของเขาด้วย โดยเฉพาะรอยสักขนาดใหญ่ที่เต็มแขนท่อนล่างข้างซ้าย มันดูคล้ายๆ นก แต่ลำตัวเป็นอย่างอื่น อาจจะเป็นเสือดำหรือสิงโต?
เสียงแหลมแสบแก้วหูของนาฬิกาปลุกปลุกฉันให้ตื่นก่อนที่จะได้มองใกล้กว่านั้น
“คลาร์ก!”
ราวกับเสียงปลุกดังลั่นยังไม่พอ วันนี้ฉันมีนาฬิกาปลุกเรือนที่สองด้วย นั่นคือลิลลี่
“คลาร์ก! ปิดไอ้เสียงบ้านั่นซะที มันดังมานาทีกว่าแล้วนะ!”
เป็นการเริ่มต้นเช้าวันจันทร์ที่เพอร์เฟกต์อะไรอย่างนี้
ฉันไม่จำเป็นต้องลืมตาก็รู้ว่าลิลลี่กำลังจ้องเขม็งมาจากหน้าประตูห้อง เธอยิ่งเป็นพวกเกลียดตอนเช้ายิ่งกว่าฉันเสียอีก และทุกคนในบ้านก็รู้ดี เราทุกคนเคยเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดตอนเช้าตรู่ของเธอมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ฉัน (และนาฬิกาปลุกเสียงดังของฉัน) เป็นเป้าหมายประจำ
“โอเคๆ กำลังปิด” ฉันพึมพำอย่างงัวเงีย แล้วคลำหามือถือจนกระทั่งกดปุ่มเลื่อนปลุกได้สำเร็จ ฉันถูหน้าตัวเองสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆ ปรือตาข้างหนึ่งขึ้นมอง อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด สายตาคมกริบของลิลลี่ราวกับจะตัดกระจกได้
“มีเหตุผลอะไรที่แกต้องตั้งนาฬิกาปลุกดังขนาดนี้ด้วยฮะ” ลิลลี่ตวาด “ฉันได้ยินเสียงนั่นดังมาแต่ไกลเลยนะ มันทำหูฉันแทบเลือดออก”
ฉันงัวเงียเกินกว่าจะเถียงกับเธอ – ไม่ใช่ว่าเถียงไปแล้วจะได้ผลอะไรหรอกนะ “โทษที ลิล” ฉันหาว “ฉันเป็นคนนอนขี้เซา ไม่ใช่ทุกคนจะมีหูไวอย่างหมาป่านี่นา”
“ช่างเหอะ” ลิลลี่กลอกตา “รีบตื่นได้แล้ว วันนี้ฉันต้องไปเจอแอชลีย์แต่เช้าที่หน้าล็อกเกอร์ ถ้าอีกยี่สิบนาทีแกยังไม่ลงไปข้างล่าง ฉันจะไปโดยไม่รอนะ” เธอเดินกระทืบเท้าปึงปังออกไปก่อนที่ฉันจะได้ตอบอะไร
ถึงแม้ฉันอยากจะนอนอ้อยอิ่งบนเตียงต่ออีกสักหน่อย แต่ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่คำขู่เล่นๆ ถ้าฉันลงไปข้างล่างไม่ทันเวลา ลิลลี่จะเอารถจี๊ปไปแล้วทิ้งให้ฉันเดินไปโรงเรียน เธอและฉันใช้รถจี๊ปร่วมกัน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่เธอจะเป็นคนใช้มากกว่าก็ตาม ผู้หญิงคนนี้สะสมกิจกรรมนอกหลักสูตรเหมือนสะสมหนังสือ – ถ้าไม่ใช่ซ้อมเชียร์หรือฝึกนักรบ เธอก็จะวิ่งวุ่นไปตามงานปาร์ตี้หรือไปเที่ยวกับเพื่อน
เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งหรือต้องเดินไปโรงเรียน ฉันจึงรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชุดที่ฉันเลือกใส่คือยีนส์ตัวโปรดที่ใส่จนเก่า กางเกงกล้ามสีน้ำเงิน และเสื้อฮู้ดผ้าฝ้ายมีซิปตัวโปรด ฉันไม่ได้แต่งหน้า แต่รวบผมสีแดงหนาของตัวเองเป็นหางม้าแล้วมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย
ผมของฉันคงเป็นส่วนที่ดีที่สุดของฉัน ถึงแม้มันจะทำให้ฉันแตกต่างจากคนอื่นๆ ในครอบครัว ฉันมีผมและตาสีเดียวกับแม่ คือตาสีน้ำตาลเข้มและผมยาวสีแดงฟูฟ่องที่ฉันไม่เคยจัดการให้มันเรียบได้สนิทเลย อันที่จริง มันมีมากกว่าแค่สีตาหรือสีผม แม่กับฉันยังมีผิวขาวซีดเหมือนกันซึ่งไหม้ง่ายเกินไป และมีกระกระจายอยู่บนใบหน้าเหมือนกัน
ตอนเด็กๆ สมัยที่ฉันยังอยู่กับแม่ ผู้คนเคยพูดว่าเราเหมือนกันเป๊ะ ตอนที่ฉันย้ายมาอยู่กับพ่อ เขาก็พูดทำนองเดียวกัน เขาบอกว่าฉันถอดแบบแม่มาเลย
ฉันยังจำวินาทีที่เห็นพ่อครั้งแรกได้ ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ
แม่ขับรถพาเราไปที่บ้านของเขา ถึงแม้เธอจะไม่เคยบอกว่าเรากำลังจะไปหาพ่อก็ตาม
ทั้งหมดที่เธอบอกฉันก็คือ เธอจะไม่อยู่สักพัก และฉันจะต้องไปอยู่กับญาติ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เวลาที่แม่บอกว่าเธอ “จะไม่อยู่สักพัก” มันหมายความจริงๆ ว่าเธอเจอผู้ชายคนใหม่แล้วและพวกเขากำลังจะหนีตามกันไปที่ไหนก็ไม่รู้แล้วไปเมายาด้วยกัน แม้จะอายุแค่สิบเอ็ดขวบ ฉันก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น – และฉันก็รู้ว่าเพื่อนๆ หลายคนที่แม่เอาฉันไปฝากไว้ด้วยตอนที่เธอไม่อยู่นั้น ไม่ใช่ “ป้า” และ “ลุง” จริงๆ หรอก
แต่พอเราไปโผล่ที่หน้าประตูบ้านพ่อแทน ฉันก็นึกว่าเขาเป็นแค่เพื่อนแม่อีกคน
เขาดูตกใจมากที่เห็นแม่ หน้าเขาซีดเผือดไปหมด แล้วก็ตะกุกตะกักแทบพูดไม่ออกกว่าจะเชิญเราเข้าบ้านได้
เกรซก็อยู่ที่นั่นด้วย เราทำคุกกี้ช็อกโกแลตชิปกันในครัวตอนที่แม่กับพ่อคุยกันเสียงเบาๆ อยู่อีกห้อง
พวกเขาอยู่ในนั้นสักพักใหญ่ นานพอที่คุกกี้จะอบเสร็จแล้วเราก็กินกันตอนร้อนๆ จากเตาเลย
พอพวกเขากลับออกมาในที่สุด พ่อก็ยังคงมีสีหน้าตกใจเหมือนเดิม แล้วก็ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้
คราวนี้เป็นฉันที่ถูกดึงตัวไปคุย พ่ออธิบายว่าเขาคือพ่อของฉัน และฉันจะต้องอยู่กับเขาตลอดไป
เขาบอกว่าแม่จะจากไปเพื่อไปจัดการเรื่องบางอย่าง และฉันจะไม่ได้เจอแม่สักพักใหญ่
เขาพูดถูก
เจ็ดปีต่อมา ฉันก็ยังไม่ได้เจอแม่อีกเลย
แม่หายตัวไปในคืนนั้น และตั้งแต่นั้นมาพ่อกับเกรซก็เป็นพ่อแม่เพียงสองคนที่ฉันรู้จัก
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างสั่นเทาแล้วหันหน้าหนีจากกระจก ฉันพยายามจะไม่คิดถึงแม่หรือเรื่องคืนนั้นมากนัก แต่บางครั้งมันก็แวบเข้ามาในหัวอยู่ดี
ตอนนั้นฉันสับสนมาก ถึงแม้พ่อจะพยายามอย่างที่สุดที่จะอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เด็กอายุสิบเอ็ดขวบอย่างฉันเข้าใจ
หลังจากคืนนั้นพ่อโกรธมาก – ไม่ได้โกรธฉัน แต่โกรธแม่
แม่ไม่เคยบอกเขาเรื่องฉันเลย พ่อเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีฉันอยู่บนโลกจนกระทั่งคืนนั้น
พ่อบอกฉันหลายครั้งว่าถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ ฉันคงได้มาอยู่กับเขาเร็วกว่านี้แล้ว แต่ในเมื่อเขาไม่รู้ เราก็คงต้องชดเชยเวลาที่เสียไป
ฉันเองก็ไม่เคยรู้เรื่องพ่อเหมือนกัน ฉันเคยถามแม่สองสามครั้งว่าพ่ออยู่ที่ไหน แต่แม่ก็เลี่ยงตอบเสมอ
แม่บอกว่าเขาไม่ได้อยู่แถวนี้ เขาเป็นส่วนหนึ่งของโลกอีกใบที่ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ว่าตามตรง แม่ก็พูดถูก – พ่อเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
ต่อมาฉันถึงได้รู้จากเซบาสเตียนว่าฉันเป็นผลพวงจากวันไนต์สแตนด์ตอนเมาของแม่กับพ่อ
นั่นเป็นครั้งเดียวที่พ่อนอกใจเกรซ – คืนนั้นที่เขาเจอแม่ในบาร์แล้วกลับบ้านไปกับเธอ
เขาได้สารภาพความจริงกับเกรซเรื่องนั้นไปแล้วหลายปีก่อนที่ฉันจะไปโผล่ที่หน้าประตูบ้านพวกเขา
พวกเขาเป็นเมทกัน แน่นอนว่าเกรซให้อภัยเขา – ถึงแม้ฉันจะไม่คิดว่าการมีอยู่ของฉันจะช่วยให้เธอลืมได้ก็เถอะ
ไม่ใช่แค่ฉันหน้าตาเหมือนแม่เปี๊ยบ แต่ฉันยังเป็นเครื่องเตือนใจที่มีชีวิตว่าความสัมพันธ์ของเกรซกับพ่อไม่ได้สมบูรณ์แบบ ว่าพ่อเคยทำเรื่องเลวร้ายที่สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก
เกรซไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน แต่ฉันก็ยังรู้สึกได้
เธอพยายามให้ฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีบางครั้งที่ฉันจับสังเกตได้ว่าเธอมองฉันด้วยสีหน้าสลดหดหู่
ฉันสูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง แล้วคว้าเสื้อแจ็กเกตมาสวม
สร้างบรรยากาศรับวันจันทร์ได้ดีเลยนะ คลาร์ก? เอาแต่คิดเรื่องเก่าๆ จนตัวเองหดหู่ไปเลยสิเนี่ย
“คลาร์ก! เรียกครั้งสุดท้ายแล้วนะ – ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ”
“ไปแล้วๆ! รอแป๊บนึงสิ!” ฉันคว้ากระเป๋าเป้แล้ววิ่งลงบันไดทีละสองขั้น
ลิลลี่ยืนรออยู่ที่ประตูหน้า ในมือถือกุญแจรถ และทำหน้าบึ้งตึงเหมือนเดิม
“ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้ต้องไปเจอแอชลีย์แต่เช้า” เธอบ่นอุบอิบขณะที่เราเดินออกจากประตู “สุดสัปดาห์นี้ฉันไม่ได้เจอเธอเลยนะ ถ้าอาทิตย์หน้าฉันไม่อยู่ เธอก็ต้องมาทำหน้าที่แทนฉันในฐานะกัปตันทีมเชียร์ลีดเดอร์ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เพราะงั้น...”
ฉันทำหูทวนลม ไม่ได้สนใจฟังที่ลิลลี่บ่นเรื่องที่ฉันมาสาย ขณะปีนขึ้นรถจี๊ป แล้วเราก็มุ่งหน้าไปโรงเรียน